จากข้อมูลของ Coincub พบว่า “เกาหลีเหนือ” มีคดีอาชญากรรม crypto มากกว่า 15 คดี โดยมีรายได้ประมาณ 1.59 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่อีก 4 ประเทศที่ติดอันดับต้น ๆ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน และสหราชอาณาจักร
แม้ว่าจะไม่ทราบขอบเขตที่แท้จริงของการมีส่วนร่วมของเกาหลีเหนือต่ออัตราการเกิดอาชญากรรมจาก Crypto ทั่วโลก แต่ Coincub ระบุว่า โปรแกรมไซเบอร์ของเกาหลีเหนือมีขนาดใหญ่และมีการจัดการที่ดี
พลเมืองส่วนใหญ่ในประเทศประสบปัญหาความไม่มั่นคงด้านอาหาร ทั้งภาวะขาดสารอาหาร และขาดการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน โดยพวกเขาไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ทว่าประเทศนี้กลับกลายเป็นมหาอำนาจแห่งการแฮ็กข้อมูล
รายงานระบุว่า การโจมตีทั้งหมดที่เกิดจากเกาหลีเหนือนั้นมีแนวโน้มได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เนื่องจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตถูกควบคุมโดยเปียงยางเท่านั้น และกองทัพไซเบอร์ของประเทศก็มุ่งเป้าไปที่รัฐบาลและองค์กรเอกชนทั่วโลก ซึ่งจะสร้างรายได้ให้แก่งบประมาณการป้องกันประเทศ
ก่อนหน้านี้ ตามรายงานของสหประชาชาติ ก็อ้างว่าแฮ็กเกอร์ชาวเกาหลีเหนือขโมยและเปิดการโจมตีอีก 7 ครั้งบ เพื่อหาเงินสนับสนุนโครงการด้านนิวเคลียร์ของพวกเขา โดย Cryptocurrency เป็นหนึ่งในแหล่งสร้างรายได้หลักทางอินเทอร์เน็ตในประเทศ และเนื่องจากการคว่ำบาตรระหว่างประเทศอย่างครอบคลุม ธุรกรรมดังกล่าวทั้งหมดจึงเป็นการฉ้อโกง
เว็บเทรดของเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในเป้าหมายสูงสุดของการโจมตีเช่นกัน โดย Bithumb ถูกโจมตี 4 ครั้งโดยแฮ็กเกอร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งโดยรวมแล้วได้เงินไปกว่า 60 ล้านดอลลาร์
กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐที่รู้จักกันดีอย่าง – Lazarus Group – อยู่เบื้องหลังการแสวงหาประโยชน์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา รวมถึงการโจมตีของ Sony ในปี 2014 , การแฮ็กของ WannaCry ก็เป็นอีกหนึ่งการแสดงความสามารถโดยกลุ่มที่นำไปสู่การโจมตีทางไซเบอร์ของแรนซัมแวร์จำนวนมากที่โจมตีสถาบันต่าง ๆ ทั่วโลก ในปี 2017
โครงการไซเบอร์ของ DPRK มีรายงานว่ามีพนักงาน 7,000 คนและการดำเนินงานในกว่า 150 ประเทศ และด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในพื้นที่ crypto แฮ็กเกอร์ของ DPRK จึงได้ปรับให้เข้ากับ Web3 และขณะนี้กำลังกำหนดเป้าหมายไปที่ DeFi