FTT เหรียญประจำเว็บเทรด FTX ทำไมถึงน่าเก็บ?

FTX ถือเป็นหนึ่งใน Centralized Exchange ที่มียอด Trading Volumn สูงเป็นอันดับต้นๆของโลก รวมไปถึงเมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมา FTX เคยมียอด Derivatives Trading Volumn สูงเป็นอันดับสองรองจาก Binance เพียงเท่านั้นหลังจากเพิ่งเปิดตัวบริษัทมาเพียง 3 ปีเท่านั้น

เหตุผลที่ FTX ครองใจเทรดเดอร์มาหลายคนก็คงหนีไม่พ้น Vision ของ Sam Bankman-Fried, CEO ของ FTX ที่มีความต้องการให้ FTX กลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มตลาดซื้อขายสินทรัพย์คริปโตที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานมากที่สุด มีหน้าตาการใช้งานที่เข้าถึงง่าย และฟีเจอร์ที่หลากหลายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเทรดเดอร์ทุกประเภท รวมไปถึง FTX ก็เป็นหนึ่งใน Exchange ที่แทบจะไม่เคยมีปัญหากับ ก.ล.ต. ของแต่ละประเทศเลย แถมยังมีการไปเปิดตัวบริษัทย่อยในหลากหลายประเทศอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น FTX US ในประเทศสหรัฐอเมริกา FTX JP ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

และการที่ FTX เป็นหนึ่งใน Exchange ที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดย Spot Trading ของ FTX ในปี 2021 มีการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2,400% เลยทีเดียวตลอดระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น เขาจึงจำเป็นต้องสร้างและขยาย Ecosystem ของเขาให้ตอบโจทย์แก่ผู้ใช้งานที่มากขึ้นกว่านี้ “FTT” จึงถือกำเนิดขึ้นมานั่นเอง

FTT เป็นโทเค็นประจำเว็บเทรด FTX ที่จะให้สิทธิประโยชน์มากมายให้แก่ผู้ถือเหรียญ ไม่ว่าจะเป็น

ส่วนลดค่าธรรมเนียมในการเทรด, สิทธิ์ในการยกเว้นค่าธรรมเนียมการถอนเงิน, สิทธิ์ในการเข้าร่วมการระดมทุนโปรเจคใหม่ๆ, สิทธิ์ในการได้ส่วนลดใน OTC Trading, สิทธิ์ในการได้รับ Airdrop เพิ่มเติมจาก Serum และอื่นๆอีกมากมาย โดยวันนี้เราจะมาเจาะกันว่า การถือ FTT ให้สิทธิประโยชน์อะไรกับเราบ้าง

FTT มีปริมาณเหรียญที่อยู่ในระบบทั้งหมด (Max Supply) อยู่ที่ 352,170,015 $FTT และในทุกอาทิตย์ทาง FTX ก็จะนำส่วนแบ่งรายได้จากค่าธรรมเนียมเทรด 33% จากการเทรดทุกประเภท, 10% ของกำไรส่วนเพิ่มของกองทุน Backstop และ 5% จากรายได้ในส่วนอื่นๆใน FTX นำมาซื้อเหรียญ FTT กลับเพื่อนำไปเผาทิ้ง (Buy Back & Burn) เพื่อทำให้ Supply ของเหรียญ FTT ลดลง ส่งผลดีต่อราคาเหรียญ FTT ในระยะยาว ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็มีการ Buy Back & Burn ไปทั้งหมด 17,956,030 FTT หรือประมาณ $491,546,319 และจะมีการทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่า Supply ของเหรียญ FTT จะเหลือเพียง 50% หรือประมาณ 176,085,007.5 $FTT 

ในปัจจุบัน FTX เป็นบริษัทที่ยังไม่ได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ฉะนั้นการถือเหรียญ FTT ก็เปรียบเสมือนการถือหุ้นของบริษัท FTX ไปในตัว ยิ่ง FTX มีการเติบโตของ User มากเท่าไร มี Trading Volumn เพิ่มมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เกิดการ Burn $FTT มากขึ้นเท่านั้น และทำให้ Marketcap รวมถึงราคาของ FTT มีการเติบโตขึ้นนั่นเอง 

การนำเหรียญ FTT มา Stake ไว้กับทาง FTX จะมอบสิทธิประโยชน์มากมาย ได้แก่

1) ส่วนลดค่าธรรมเนียมในการเทรดสูงสุดถึง 60% หากนำเหรียญ FTT ไป Stake ในสัดส่วนต่างๆตามตารางด้านล่าง

2) ได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียมในการเทรด OTC สูงสุด 0.02% รวมถึงผู้ที่ Stake FTT จะได้รับเงินคืน (Rebates) จากการซื้อขายผ่าน OTC อีกด้วย

3) ผู้ใช้งานสามารถนำเหรียญ FTT มาเป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน (Collateral) สำหรับ Margin ในการเทรด Futures ในเว็บเทรดได้

4) ได้รับส่วนลดค่า Maker Fees และ Rebates Fees ตามจำนวนเหรียญ FTT ที่นำมา Stake ไว้

5) ได้รับสิทธิ์เพิ่มเติม (Bonus Vote) ในการโหวต Proposal ต่างๆของทาง FTX ที่มีขึ้นในอนาคต ซึ่งผู้ถือเหรียญ FTT เปรียบเสมือนผู้ถือหุ้นของบริษัท ที่ผู้ถือหุ้นสามารถมีสิทธิ์ในการโหวตกำหนดทิศทางของบริษัทได้ตามจำนวนหุ้นที่ตัวเองถือ 

6) เพิ่มโอกาสการได้รับ Airdrop เหรียญ SRM รวมถึง Airdrop อื่นๆและ Yield ที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย ซึ่ง SRM เป็นเหรียญ Governance Token ของแพลตฟอร์ม DeFi “Serum” ซึ่งเป็น Decentralized Exchange ที่ทาง FTX ร่วมพัฒนากับ Sam Bankman-Fried นั่นเอง

7) สิทธิ์ในการถอนเหรียญ ETH หรือเหรียญตระกูล ERC-20 ฟรี โดยหากเราทำการ Stake $FTT ไว้ขั้นต่ำ 25 เหรียญ เราจะสามารถถอน ETH หรือเหรียญ ERC-20 ได้ฟรีวันละหนึ่งครั้ง และถ้าเพิ่มสัดส่วนการ Stake ก็จะได้รับจำนวนครั้งในการถอนออกฟรีเพิ่มขึ้นอีกด้วย

8) สิทธิ์ในการระดมทุน (IEO) โปรเจคใหม่ๆที่เข้ามาระดมทุนผ่าน FTX โดยหากเรา Stake FTT ขั้นต่ำ 150 เหรียญ เราจะได้รับ Ticket 1 ใบในการสุ่มสิทธิ์ที่จะได้เข้าร่วมการ IEO โปรเจคนั้นๆ และหากมีการ Stake FTT ในสัดส่วนที่มากขึ้น ก็จะทำให้เรามีโอกาสที่จะได้รับ IEO Ticket ที่มากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง ซึ่งแต่ละโปรเจคที่เข้ามา IEO ผ่าน FTX ก็ให้ผลตอบแทนจาก Capital Gain มหาศาล อย่างเช่นโปรเจค C2X ที่เป็นโปรเจคล่าสุดที่ได้มีการ IEO ไปนั้น สำหรับใครที่ได้รับสิทธิ์ในการ IEO ก็จะได้รับผลตอบแทนมากถึง 34 เท่าภายในหนึ่งวันเลยทีเดียว

ซึ่งถึงแม้ว่าการ Stake เหรียญ FTT จะไม่ได้ให้ Staking Yield เหมือนเหรียญประจำ Exchange ที่อื่นๆ แต่ถ้าเทียบกับ Use Case ที่ผู้ใช้งานได้รับไปนั้น รวมไปถึงกลไกหลังบ้านของเหรียญ FTT ก็ถือว่าดีมากเลยทีเดียว ทั้งการ Buy Back & Burn ที่จะเป็นการเพิ่มมูลค่าของ FTT ในระยะยาว ทั้งการลดค่าธรรมเนียมในการเทรด และสิทธิ์ในการระดมทุน (IEO) โปรเจคต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะยิ่งเพิ่ม Demand ให้ผู้ใช้งานรายใหม่ๆอยากที่จะเข้ามาถือครองเหรียญ FTT กันมากขึ้นในอนาคตนั่นเอง

ส่วนความเสี่ยงของเว็บเทรด FTX ก็คงจะมีอยู่หนึ่งเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ บรรดาเว็บเทรดต่างๆที่เป็นคู่แข่งรายใหม่ๆในอุตสาหกรรมคริปโต ที่มีฟีเจอร์ต่างๆที่มีความใกล้เคียงกับ FTX เป็นอย่างมาก รวมถึงการที่แต่ละ Exchange นั้นทำการออกเหรียญของตนเองและเพิ่ม Use Case ให้กับมัน และอีกหนึ่งความเสี่ยงก็คงจะหนีไม่พ้น “Key Man Risk” หรือความเสี่ยงในตัวบุคคล เพราะหลายๆคนนั้นเชื่อมั่นในตัว Sam Bankman-Fried, CEO ของ FTX เป็นอย่างมาก หากวันหนึ่งถ้า Sam เกิดมีการตัดสินใจผิดพลาดเกี่ยวกับทิศทางของ FTX ก็อาจทำให้เกิดกระแสไม่ดีเกี่ยวกับ FTX ได้ เป็นต้น

อ้างอิงจาก : https://help.ftx.com/hc/en-us/articles/360052410392

Share on facebook
Share on twitter
Share on linkedin

Radius

ผู้เชี่ยวชาญการเขียนข่าว บทความ ที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin , คริปโตเคอเรนซี่ และ Blockchain ทั้งในไทยและต่างประเทศ อัพเดทราคา มุมมองการลงทุน ใหม่ล่าสุดทุกวัน
ข่าวต่อไป