ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดของ Ethereum ในตอนนี้นั้น ทำให้กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ 15 อันดับแรกที่มีมูลค่ามากที่สุดตามมูลค่าตลาดโลก
อุตสาหกรรมคริปโตนั้นเรียกได้ว่ามีช่วงหนึ่งปีที่ดีที่สุดเลย เนื่องจากมันได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน
ไม่ใช่แค่สิ่งนี้นั้นจะส่งผลดีต่อมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลบางตัว เช่น Bitcoin และ Ethereum เท่านั้น แต่มูลค่าตามราคาตลาดของสินทรัพย์เหล่านี้เองยังแสดงให้เห็นถึงการเติบโตจากขอบเขตที่ตัวสินทรัพย์เหล่านี้ได้ขยายออกไปอีกด้วย
มูลค่าตามราคาตลาดของ Ethereum ในตอนนี้นั้นได้อยู่เหนือธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว
อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่ต่างๆ ในตอนนี้ มูลค่าทางตลาดของ Ethereum ได้เอาชนะสถาบันการเงินขนาดใหญ่บางแห่งในโลก รวมไปถึง JPMorgan ด้วย
Kris Kay DeFi ผู้ใช้ Twitter ได้ชี้และแสดงผ่านทวีตของเขาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมว่ามูลค่าทางตลาดของ Ethereum อยู่ที่ 550 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งการเติบโตของมันนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าตัวเหรียญมาไกลแค่ไหนแล้วในตอนนี้
ถ้าพูดกันตามจริงแล้วนั้น ตัว Ethereum เพิ่งจะมีมาไม่ถึงทศวรรษในขณะที่ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง JPMorgan ได้มีอายุกว่า 40 ปีแล้ว
ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน มูลค่าตามราคาตลาดของ Ethereum อยู่ที่ประมาณ 480 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่ตกลงไปเกือบ 5% ในช่วงที่ผ่านมา แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังคงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ 15 อันดับแรกตามมูลค่าตลาดของโลกอยู่ โดยตามหลังแค่ Meta ของ Facebook, Tesla, Amazon, Bitcoin, Apple, Microsoft และสินทรัพย์ยอดนิยมอื่น ๆเท่านั้น
แล้ว Ethereum มาไกลขนาดนี้ได้ยังไง
ถ้าจะกล่าวก็คือ ตัวบล็อกเชนของ Ethereum นั้นเป็นหนึ่งในบล็อคเชนที่ได้รับความนิยมและถูกใช้มากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยในชุมชนคริปโต เนื่องจากเป็นบล็อคเชนที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดสำหรับ DeFi จากตัวคุณสมบัติ smart contract ของมัน
แต่ที่น่าสนใจคือ นักวิเคราะห์หลายคนคาดการณ์ว่าในที่สุดการทำธุรกรรมทางการเงินในลักษณะนี้จะสามารถบดบังพื้นที่การเงินแบบดั้งเดิมได้
นอกจากนี้ ตัวเครือข่ายยังสามารถประมวลผลธุรกรรมต่างๆได้มากกว่า 1 ล้านรายการต่อวัน สิ่งเหล่านี้ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในเครือข่ายคริปโตที่มีคนใช้มากที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตของมันก็มีข้อจำกัดบางประการ โดยการที่มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงเป็นประวัติการณ์นั้น ทำให้มันต้องต่อสู้กับตัว EIP-1559 มาใช้ และยังคงต้องรอดูกันต่อไปว่าใครจะเป็นเครือข่ายสำหรับ proof of stake ที่ดีกว่ากัน
อ้างอิง : LINK