ตามรายงานของสำนักข่าวท้องถิ่น Yomiuri ระบุว่า สำนักงานบริการทางการเงินของญี่ปุ่น กำลังพิจารณาแก้ไขระบบการจัดเก็บภาษีสกุลเงินดิจิทัลสำหรับนิติบุคคลก่อนการปฏิรูปภาษี 2023 ของประเทศ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เสนอนี้รวมถึงการลบหนี้สินจากการเพิ่มทุนสำหรับสินทรัพย์ Crypto ขององค์กรที่ยังไม่ได้จำหน่าย ณ สิ้นปีภาษีแต่ละปี เช่นเดียวกับการเปลี่ยนการจัดประเภทของสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อให้ภาษีกำไรจากการลงทุนสูงสุดที่ใช้บังคับลดลงเหลือ 20% จาก 55%
ภายใต้กฎหมายภาษีอากรในปัจจุบันของญี่ปุ่น กำไรจากเงินทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากสกุลเงินดิจิทัลจะถูกกำหนดเป็นรายได้ ณ สิ้นปีงบประมาณของแต่ละปี (วันที่ 31 มีนาคม) ส่งผลให้เกิดหนี้สินภาษีเงินได้ นอกจากนี้ รายรับจาก Crypto ทั้งบุคคลและองค์กรที่มากกว่า 200,000 เยน (1,463) ในปีงบประมาณใด ๆ จะถูกจัดประเภทเป็น “รายได้เบ็ดเตล็ด” ซึ่งเก็บภาษีในอัตราตั้งแต่ 15% ถึง 55% โดยรวมอัตราภาษีของผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น ซึ่งในการเปรียบเทียบนั้น กำไรที่ได้รับจากการซื้อขายหุ้นและฟอเร็กซ์จะต้องเสียภาษี 20% ที่ระดับสูงสุดเท่านั้น
ชาวต่างชาติที่พำนักถาวรในประเทศญี่ปุ่น จะอยู่ภายใต้อัตราภาษี 55% ขึ้นไป โดยกิจกรรมที่สร้างรายได้จาก Crypto ทั้งหมด เช่น การให้กู้ยืมเงินแบบกระจายอำนาจ , การขุด Bitcoin , หรือการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลแบบธรรมดา จะถูกเก็บภาษีตามรายได้เบ็ดเตล็ด นอกจากนี้ยังไม่สามารถนำการสูญเสียเงินทุนที่เกิดจากการดำเนินการกับ Crypto ในปีต่อ ๆ ไปได้
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมกล่าวว่า ภาระภาษีที่สูงที่สตาร์ทอัพญี่ปุ่นต้องเผชิญนั้นมีบทบาทสำคัญในการย้ายภูมิลำเนาของบริษัทไปต่างประเทศ โดยหนึ่งในบริษัทดังกล่าวคือ Astar Network ซึ่งเป็นศูนย์กลางเครือข่ายกระจายอำนาจบน Polkadot ที่ได้ตัดสินใจออกโทเค็นในต่างประเทศเมื่อต้นปีนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีที่เข้มงวด และปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ โดยทางด้าน Sota Watanabe ผู้ก่อตั้งบริษัท Astar ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปภาษีที่เสนอครั้งนี้ว่าอาจเป็น “แรงผลักดันที่ดีสำหรับอุตสาหกรรม Web3”