นักพัฒนาหลักของ Ethereum ประสบความสำเร็จในการเปิดตัว Hard Fork Grey Glacier ซึ่งเป็นการอัพเกรดเครือข่ายเพื่อดำเนินการ Ethereum Improvement Proposal (EIP) 5133 ที่ block height 15,050,000
Hard Fork ของ Grey Glacier ต้องการให้ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ไคลเอ็นต์ใน execution layer เช่น Nethermind และ Geth อัปเดตโหนด Ethereum ของตน ซึ่งทาง Nethermind ยืนยันในโพสต์ Twitter ว่าการอัปเกรดสำเร็จแล้ว
การอัปเกรดมีการวางแผนเพื่อชะลอสิ่งที่เรียกว่า ‘Difficulty Bomb’ ไปอีก 100 วัน โดย Difficulty Bomb จะเปิดใช้งานในกลางเดือนกันยายน ประมาณช่วงเวลาเดียวกันกับที่เครือข่ายจะเปลี่ยนไปใช้ proof-of-stake
Difficulty Bomb คืออะไร?
Difficulty Bomb เป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่า merge ของ Ethereum หรือการเปลี่ยนจาก proof-of-work เป็น proof-of-stake ของบล็อคเชนนั้นจะดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยกลไกนี้จะทำให้บล็อกของ Ethereum ขุดได้ยากขึ้น และลดแรงจูงใจสำหรับผู้ขุดจาก forking chain ในสิ่งที่เรียกว่า “Ice Age” ของ Ethereum
เหตุใด Difficulty Bomb จึงล่าช้า
ก่อนหน้านี้ นักพัฒนาหลักของ Ethereum ได้กำหนดให้ Difficulty Bomb เริ่มทำงานในวันที่ 29 มิถุนายน โดยคาดว่า the merge จะเกิดในช่วงเวลานี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความล่าช้าในกำหนดของ the merge จึงจำเป็นต้องเลื่อน difficulty bomb ออกไป
นอกจากนี้ การเปิดใช้งาน difficulty bomb ก่อนกำหนดอาจทำให้บล็อกเชนทำงานช้าโดยไม่จำเป็น ซึ่งตามข้อมูลจาก Etherscan พบว่า block times เริ่มเพิ่มขึ้นบน Ethereum แล้ว จาก 13 วินาทีเป็น 16 วินาที และตอนนี้ difficulty bomb ก็ได้ถูกผลักออกไปแล้ว ทำให้คาดว่า block times จะลดลงสู่ระดับปกติ