Ripple บริษัทชำระเงินบล็อกเชน ได้ประกาศซื้อคืนหุ้น Series C มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่จะทำให้บริษัทเทคโนโลยีในซานฟรานซิสโกมีมูลค่าสูงถึง 15 พันล้านดอลลาร์
ย้อนกลับไปในเดือนธันวาคม 2019 Ripple ระดมทุนได้ 200 ล้านดอลลาร์ในการระดมทุน Series C กับ Tetragon Financial Group ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนในสหราชอาณาจักร โดยทำหน้าที่เป็นผู้ลงทุนหลักร่วมกับ SBI Holdings และ Route 66 Ventures
อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคม 2020 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ฟ้องร้อง Ripple Labs มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ รวมถึง Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO Brad Garlinghouse กล่าวหาฝ่ายต่างๆ ที่ขายโทเค็น XRP ว่าเป็นหลักทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่มีใบอนุญาต
ด้าน Tetragon ก็ได้ฟ้อง Ripple ในต้นเดือนมกราคม 2021 ที่ศาล Delaware Chancery เพื่อพยายามบังคับใช้ข้อผูกพันตามสัญญาของเงื่อนไขการซื้อคืนตามมูลค่าของเงินลงทุนที่ไม่เปิดเผย อย่างไรก็ตาม เพียงสามเดือนต่อมาในเดือนเมษายน ศาลได้ตัดสินให้ Ripple ชนะคดี
ในการเลือกซื้อหุ้นด้วยความเต็มใจจาก Tetragon, SBI Holdings และ Route 66 Ventures เป็นการบ่งบอกว่า Ripple กำลังพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงิน ตามที่ Garlinghouse ทวีตล่าสุด
“แม้จะมีอุปสรรค์ในปี 2021 แต่ก็เป็นปีที่ดีที่สุดของเรา” เขากล่าว พร้อมเปิดเผยว่ายอดคงเหลือในธนาคาร 1 พันล้านดอลลาร์ของบริษัททำให้ “เราแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา”
นอกจากข่าวการซื้อคืนและการประเมินมูลค่าแล้ว Garlinghouse ยังได้แบ่งปันแง่ดีสำหรับอนาคตของ RippleNet และ Ripple X ซึ่งประการหลังนี้ถูกนำไปใช้เพื่อปรับปรุงประโยชน์ของ XRP Ledger ซึ่งรวมถึงโทเค็น NFT , สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง , ตลอดจนฟังก์ชันการทำงานแบบมัลติเชนที่ทำงานร่วมกันได้ เป็นต้น
โฆษกของ Ripple ยังกล่าวด้วยว่าการตัดสินใจซื้อหุ้นคืนเกิดขึ้นเนื่องจาก “สถานะที่แข็งแกร่งมากในตลาด” โดยอ้างว่าบริษัท “มีกระแสเงินสดเป็นบวก” และมี “งบดุลที่แข็งแกร่ง”
นอกจากนี้ Ripple ยังมีการ “จ้างงานที่ดีที่สุดในปี 2021” และขณะนี้กำลังพยายามเพิ่ม “พนักงานทั่วโลกหลายร้อยคนในปีนี้” เพื่อสนับสนุนพนักงาน 500 คนที่มีอยู่แล้ว