นักยุทธศาสตร์ด้านคริปโตของ Bank of America อย่าง Andrew Moss และ Alkesh Shah เขียนในบันทึกเมื่อวันที่ 24 มกราคมว่า CBDC “เป็นวิวัฒนาการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน” ตามรายงานของ Bloomberg
“เราคาดว่าการยอมรับเหรียญ stablecoin และการใช้สำหรับชำระเงินจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากสถาบันการเงินมีการสำรวจบริการดูแลทรัพย์สินดิจิทัลและโซลูชั่นการซื้อขาย และในขณะที่บริษัทชำระเงินก็ได้รวมเทคโนโลยีบล็อคเชนเข้ากับแพลตฟอร์มของพวกเขา”
ในขณะเดียวกัน รายงานเมื่อวันที่ 20 มกราคมเรื่อง “Money and Payments: The US Dollar in the Age of Digital Transformation” จาก Federal Reserve Bank (FRB) ได้เปรียบเทียบถึงข้อดีและข้อเสียของสหรัฐฯ ที่อาจนำ CBDC มาใช้งาน
โดยพิจารณาว่า CBDC สามารถ “ปรับปรุงระบบการชำระเงินภายในประเทศที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ” สำหรับครัวเรือนและธุรกิจได้หรือไม่ เนื่องจาก “ระบบการชำระเงินยังคงพัฒนาต่อไป” ซึ่งอาจส่งผลให้ “ตัวเลือกการชำระเงินระหว่างประเทศเร็วขึ้น”
นักวิเคราะห์ของ Bank of America กล่าวว่า CBDC จะแตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากจะเป็นความรับผิดชอบของ Federal Reserve ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน , การปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ , และการต่อสู้กับธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย โดย FED ได้เปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นในประเด็นเหล่านี้จนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม
CBDCคือสกุลเงิน fiat ของประเทศในเวอร์ชันดิจิทัล เช่น ดอลลาร์สหรัฐ โดยพวกเขาเริ่มเป็นที่สนใจในปี 2020 เมื่อบาฮามาสเปิดตัว CBDC แห่งแรกของโลกที่ชื่อว่า “Sand Dollar”
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางของจีนกำลังพัฒนากระเป๋าเงินหยวนดิจิทัลในขณะที่กำลังพยายามสร้างสกุลเงินดิจิทัล โดยในเดือนเมษายน 2021 ธนาคารกลางของสวีเดนก็ได้เสร็จสิ้นขั้นตอนแรกของโครงการนำร่องสกุลเงินดิจิทัล “e-krona”