ท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของโทเค็น NFT ผู้คนในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก (APAC) ดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องของ NFT ตามข้อมูลจาก Google Trends
ข้อมูลจาก Google Trends แสดงให้เห็นว่า จีน สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นสามประเทศชั้นนำของโลกในแง่ของจำนวนการค้นหา “NFT” บน Google ในปีที่ผ่านมา
ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าว ประเทศจีนมีจำนวนการค้นหาสูงที่สุด โดยมีดัชนีการค้นหาของ Google อยู่ที่ 100 คะแนน ขณะที่สิงคโปร์และฮ่องกงตามมาด้วย 67 และ 62 คะแนนตามลำดับ และประเทศที่ค้นหา “NFT” ที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ เวเนซุเอลา ฟิลิปปินส์ ไซปรัส แคนาดา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา
ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดใน APAC อย่างประเทศจีน ต่างสนใจเข้าสู่ NFT เพื่อบรรเทาผลที่ตามมาจากการแบน crypto ล่าสุดของประเทศที่ประกาศเมื่อปลายเดือนกันยายน ตามรายงานของ Khashayar Abbasi ผู้ร่วมให้ข้อมูลของ Bankless Times ที่ระบุว่า
“ประเทศจีนห้ามซื้อขาย cryptocurrency ซึ่งทำให้เราได้เห็นนักลงทุนคริปโตต่างกระตือรือร้นในการย้ายไปยัง NFT” Abbasi กล่าวโดยเขาตั้งข้อสังเกตว่ายักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีนอย่าง Alibaba ก็ได้เปิดตัวตลาด NFT ของตัวเองในเดือนสิงหาคม ซึ่งสามารถกระตุ้นความนิยมของ NFT ในประเทศจีนได้อีกด้วย
ตามรายงานของ Bankless Times จำนวนการค้นหา “NFT” ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนมาจากจังหวัดทางตะวันออกของเจ้อเจียง เมืองเซี่ยงไฮ้ และมณฑลหูเป่ย ซึ่งที่น่าสนใจก็คือ Google นั้นถูกบล็อกทางเทคนิคในประเทศจีนตั้งแต่ปี 2010 โดยเป็นส่วนหนึ่งของ “Great Firewall”
“ประเทศในเอเชียมักคุ้นเคยกับระบบเงินสดและระบบดิจิทัลมากกว่าประเทศตะวันตก ดังนั้น นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมการใช้ NFT ของพวกเขาจึงแพร่หลายมาก” Abbasi กล่าวเสริม
“ก่อนหน้านี้ คนรวยจะซื้อนาฬิการาคาแพงเพื่ออวดความมั่งคั่ง และมีเพียงผู้ที่พบเห็นพวกเขาในชีวิตจริงเท่านั้นที่จะเห็นสิ่งที่พวกเขาสวมใส่ แต่ตอนนี้คุณสามารถอวดรวยได้ด้วยการซื้อ NFT จากนั้นก็โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และทุกคนทั่วโลกก็จะสามารถตรวจสอบได้ 100% ว่ามันเป็นของคุณ” เขากล่าว
