Ubisoft หนึ่งในบริษัทวิดีโอเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นเจ้าของเกมแฟรนไชส์ยอดนิยม เช่น Assassin’s Creed, Far Cry และ For Honor ได้จัดงานประกาศผลกำไรประจำไตรมาสที่ 2 ในสัปดาห์นี้ โดยที่บล็อคเชนเป็นหัวข้อสำคัญในการพูดคุย
โดยนอกเหนือจากการรายงานจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้น 15% ในช่วงครึ่งแรกของปี เมื่อเทียบกับปี 2020 และความจริงที่ว่า Assassin’s Creed Valhalla ได้กลายเป็นเกมที่ทำกำไรได้มากที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของบริษัท ทางด้าน Yves Guillemot ซีอีโอของบริษัทยังแสดงถึงความตั้งใจในการลงทุนและการนำบริษัทเกมที่เน้น Blockchain มาใช้งานบนแพลตฟอร์ม
ซึ่งแม้จะมีความก้าวหน้าที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ เช่น การระดมทุนของ Animoca Brands เจ้าของเกม Metaverse ที่ใช้ Ethereum อย่าง The Sandbox — Guillemot ยังกล่าวว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวอยู่ในขั้นเริ่มต้นการวิจัยและพัฒนา
Frédérick Duguet ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Ubisoft กล่าวถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นที่เทคโนโลยีบล็อคเชนจะมีต่ออุตสาหกรรมเกม:
“Blockchain จะทำให้ผู้เล่นเข้าถึง play-to-earn ได้มากขึ้น , เป็นเจ้าของเนื้อหา , และเราคิดว่ามันจะทำให้อุตสาหกรรมเติบโตได้ค่อนข้างมาก ซึ่งเราได้ทำงานร่วมกับบริษัทขนาดเล็กจำนวนมากที่กำลังพัฒนาบล็อกเชน และเราเริ่มรู้ว่ามันจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอย่างไร และเราต้องการที่จะเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักที่นี่”
บริษัทเกมคู่แข่งอย่าง Valve เพิ่งกลายเป็นพาดหัวข่าวดัง หลังจากประกาศห้ามเกมที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Crypto , blockchain และ nonfungible token (NFT) ขายในตลาด Steam โดยเชื่อว่าสินทรัพย์ดังกล่าวไม่มีมูลค่าที่แท้จริง