ธนาคารแห่งชาติของกัมพูชา (NBC) ยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยโครงการเงินดิจิทัลของประเทศซึ่งคล้ายกับสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ที่รู้จักกันในชื่อ “Bakong”
Chea Serey ผู้อำนวยการทั่วไปของ NBC และหัวหน้าโครงการ Bakong กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธกับ The Nikkei ว่ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของ Bakong มีผู้ใช้ถึง 200,000 รายในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นสองเท่าจากเมื่อ 3 เดือนก่อน ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยบริการชำระเงินและการโอนเงินของ Bakong เริ่มตั้งแต่ในเดือนตุลาคม 2020
โครงการนี้มีผู้ใช้เกือบ 6 ล้านคนในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 รวมถึงผู้ใช้ที่เข้าถึงโดยทางอ้อมผ่านแอพมือถือของธนาคารสมาชิก โดยมีการบันทึกธุรกรรมทั้งหมด 1.4 ล้านรายการ มูลค่าเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ Serey กล่าว
เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า NBC กำลังสำรวจการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนผ่าน Bakong โดยได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับธนาคารกลางของประเทศไทย และธนาคาร Maybank ที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย โดย Serey อธิบายว่าการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนของ Bakong จะช่วยให้ชาวกัมพูชาในต่างประเทศมี “วิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการส่งเงินให้กับครอบครัวของพวกเขา” โดยเธอตั้งข้อสังเกตว่าวิธีการชำระเงินแบบใหม่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้หญิงชาวกัมพูชาจำนวนมากที่อพยพไปมาเลเซีย
มีรายงานว่า Serey ยังกล่าวอีกว่า การเปิดตัว Bakong ได้เพิ่มการใช้งาน “เรียล” สกุลเงินประจำชาติของกัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบสองสกุลเงินของประเทศที่ควบคู่ไปกับดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม โครงการเงินดิจิทัลเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถเปลี่ยนกัมพูชาจากเศรษฐกิจที่ใช้เงินดอลลาร์เป็นเรียลได้
“ยังมีนโยบายอื่นๆ ที่จำเป็นจะต้องดำเนินการ เช่น มีอัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่และอัตราเงินเฟ้อ” Serey กล่าวสรุปว่าภารกิจของ Bakong คือการ “เพิ่มการใช้สกุลเงินท้องถิ่น” โดยมีเป้าหมายระยะยาว เพื่อ “ใช้” สกุลเงินท้องถิ่นของประเทศเท่านั้น ซึ่งจากข้อมูลของ Wall Street Journal ปัจจุบันเงินดอลลาร์สหรัฐถูกใช้ประมาณ 90% ของธุรกรรมทางการเงินในกัมพูชา
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการทั่วไปของ NBC ยังได้พูดถึง Bitcoin ( BTC ) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกว่า อุตสาหกรรม crypto จำเป็นต้องมีกฎระเบียบและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบของราคาที่ผันผวน “มันไม่มี fundamentals ใดๆ และหากคุณอนุญาตให้นักลงทุนทำสิ่งนี้ ใครจะรับผิดชอบเมื่อราคาตกต่ำ?”
อ้างอิง : LINK