ตามประกาศเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน Ripple ได้จัดตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคใน Dubai International Financial Center หรือ DIFC
มีรายงานว่า Ripple เลือกสถานที่ตั้งสำหรับ “กฎระเบียบที่เป็นนวัตกรรมใหม่” โดยเว็บไซต์ DIFC ระบุว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษให้บริการบริษัทมากกว่า 2,500 แห่งทั่วตะวันออกกลาง, แอฟริกา , และเอเชียใต้ในฐานะ “หน่วยงานกำกับดูแลอิสระ” พร้อมด้วย “ระบบตุลาการที่พิสูจน์แล้ว”
“Ripple มีฐานลูกค้าที่สำคัญในภูมิภาค MENA [ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ] อยู่แล้ว และโอกาสในการร่วมงานกับลูกค้าของเราทำให้ DIFC เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม” Navin Gupta กรรมการผู้จัดการของ Ripple กล่าว “สำนักงานประจำภูมิภาคของเราจะทำหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นในการนำเสนอโซลูชั่นที่ใช้ blockchain และกระชับความสัมพันธ์กับสถาบันการเงินในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”
ขณะที่ Brad Garlinghouse CEO และ Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้งได้พูดเกี่ยวกับการย้ายสำนักงานใหญ่ของบริษัทในซานฟรานซิสโกไปยังประเทศที่มีความชัดเจนด้านกฎระเบียบมากกว่าสหรัฐอเมริกา โดยมีรายงานว่า Ripple ได้คัดเลือกญี่ปุ่นและสิงคโปร์ให้เป็นสถานที่ที่มีศักยภาพสำหรับสำนักงานใหม่
DIFC ตั้งอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยกล่าวว่ามีการเสนอให้บริษัทบล็อกเชนเช่น Ripple ไม่ต้องจ่ายภาษีจากรายได้และผลกำไรขององค์กรเป็นเวลาอย่างน้อย 50 ปี นอกจากศูนย์การเงินแล้ว Dubai Multi Commodities Center ยังเป็นเขตปลอดภาษีที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ได้ประกาศเมื่อเดือนมกราคมว่ามีแผนที่จะเปิดตัว crypto Valley รูปแบบใหม่
การเคลื่อนไหวของ Ripple เกิดขึ้นท่ามกลางความผันผวนที่เพิ่มขึ้นสำหรับโทเค็น XRP เมื่อเทียบกับ Bitcoin ( BTC ) และ Ether ( ETH ) ในปี 2020 ตามรายงานของ XRP Markets ในไตรมาส 3 ปี 2020 ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พบว่าความผันผวนของ XRP ในไตรมาสที่ 3 นั้นสูงกว่า BTC และ ETH ซึ่งแสดงถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากใน Q2 และ Q1
อ้างอิง : LINK