Bitcoin คืออะไร? มารู้จักกับเงินดิจิทัลที่ปฏิวัติวงการการเงินโลก

Bitcoin คืออะไร

Bitcoin เป็นที่รู้จักในฐานะสกุลเงินดิจิทัลแบบการกระจายอำนาจ (Decentralized) โดยไม่มีธนาคารกลางหรือแม้แต่ผู้คุมระบบแม้แต่คนเดียว มีเครือข่ายเป็นแบบ Peer-to-Peer (P2P) หรือการซื้อขายที่เกิดขึ้นระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานทั่วโลก โดยใช้ระบบซอฟต์แวร์ในการถอดสมการคณิตศาสตร์ที่เชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ตโดยตรง และไม่ผ่านตัวกลาง

จุดเริ่มต้นของ Bitcoin เกิดขึ้นใน ปี 2008 เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจากสินเชื่อซับไพรม์ (Subprime) หรือการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้กู้ยืมที่ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วนเพียงพอ จนเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง และคุกคามความมั่นคงของสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา สาเหตุหลักมาจากความซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งวิกฤตครั้งนี้ส่งผลให้เกิดสินเชื่อ “ดอกเบี้ยลอยตัว” ที่เผยให้เห็นถึงความอ่อนแอในระบบทางการเงิน สหรัฐอเมริกาจึงได้ตัดสินใจแก้ปัญหาโดยการพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมากโดยที่ไม่มีหลักประกันเพื่อยื้อเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจนเกิด “ภาวะเงินเฟ้อ” ภายในประเทศ แน่นอนการพิมพ์เงินออกมาจำนวนมากย่อมส่งผลให้มูลค่าของเงินถูกลงตามไปด้วย

และในปีเดียวกันก็ได้มีกลุ่มคนที่เรียกว่า Cypherpunk (ไซเฟอร์พังค์) รวมตัวกันบนโลกออนไลน์ โดยการใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto (ซาโตชิ นากาโมโต) ที่สนใจในเรื่องของวิทยาศาสตร์, คอมพิวเตอร์, การเข้ารหัสทางคณิตศาสตร์, และการเมือง หยิบเอาแนวความคิดระบบสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตกลับมาทบทวนและใช้งานอีกครั้ง จนพัฒนาออกมาเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่เรารู้จักกันแพร่หลายที่สุดในปัจจุบันนั่นก็คือ “Bitcoin”

แน่นอนว่าตัวบิทคอยน์มีวัตถุประสงค์หลักก็เพื่อการสร้าง Digital Currency ที่มีความน่าเชื่อถือ และไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับภาครัฐหรือหน่วยงานใด เพื่อตัดตัวกลางทางด้านการเงินออกทั้งหมด เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีความเชื่อมั่นในรัฐบาลหรือหน่วยงานใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ “เงินตรา” ปัจจุบันเราก็ยังไม่รูเลยว่าเป็นใครคือ Satoshi Nakamoto (ซาโตชิ นากาโมโต) เนื่องจากว่าซาโตชิเองไม่เคยออกสื่อ หรือว่าเปิดเผยตัวตนในที่สาธารณะมาก่อนแต่ก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่สำคัญยิ่งในเปลี่ยนแปลง “โลกแห่งการเงินดิจิทัล” 

เหรียญ Bitcoin ถูกสร้างจำกัดไว้ที่จำนวน 21 ล้าน BTC โดยการจำกัดจำนวนเหรียญนี้มีวัตถุประสงค์หลักไว้เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา “เงินเฟ้อ” ทางซาโตชิเป็นผู้ที่ออกกฎและนโยบายทางการเงินนี้เองเพราะในทุกๆ 4 ปี จะมีการ Halving ของบิตคอยน์ หรือการลดทอนผลตอบแทนจากการขุดลงไปให้เหลือแค่ครึ่งหนึ่ง และในยุคเริ่มต้นของ Bitcoin นั้นผลตอบแทนของการขุด Block Reward หรือรางวัลสำหรับ “การปิดบล็อกแรกสำเร็จ” ได้บิตคอยน์สูงถึง 50 BTC ต่อการขุด 1 บล็อก โดยการถอดรหัสปิดบล็อกแรกสำเร็จ และมีเหรียญชุดแรกออกมาเกิดขึ้นในปี 2009 หลังจากนั้นในปี 2012 ได้เกิดการ Halving ครั้งที่ 1 ทำให้ผลตอบแทนของการขุดลดลงไปครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 25 BTC ต่อการขุด 1 บล็อค ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อปี 2016 ลดเหลือแค่ 12.5 BTC ต่อการขุด 1 บล็อค และในปี 2020 ได้เกิดการ Halving ครั้งที่ 3 ซึ่งทำให้ผลตอบแทนในปัจจุบันเหลือเพียง 6.25 BTC ต่อการขุด 1 บล็อค

ปัจจุบันบิตคอยน์มี Supply หมุนเวียนอยู่ในระบบอยู่ที่ 19,408,918 BTC (ข้อมูล ณ วันที่ 22 มิ.ย. 2566) การผลิต Bitcoin ขึ้นมาได้นั้นจะต้องอาศัยวิธีการ “ขุด” หรือที่เราเรียกกันว่าระบบ Proof-of-Work (PoW) มันเป็นชุดกฎคำสั่ง (Protocol) ที่ถูกตั้งไว้โดยกลุ่มนักพัฒนาเหรียญ ทั้งนี้ตัวบิตคอยน์จะถูกขุดออกมาครบทั้งหมด 21 ล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.2140 (พ.ศ.2683) หรือนับไปอีก 120 ปีหลังจากนี้ แน่นอนว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่บิตคอยน์ก็จะยิ่งหายากขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นทำกับว่า Bitcoin (BTC) จะเปรียบเสมือนเป็น “ทองคำแห่งโลกดิจิทัล” ในฐานะตัวเก็บมูลค่าหรือ Store of Value นั่นเอง

มูลค่าตลาด ณ ปัจจุบันของ อยู่ที่ $582,789,309,943 หรือประมาณ 20 ล้านล้านบาท อยู่อันดับที่ 1 ของเวป Coingecko และมี Supply หมุนเวียนอยู่ที่ 19,408,918 BTC จากทั้งหมด 21,000,000 BTC

ขอบคุณเพจ BitToon สำหรับกราฟฟิก และ Lady Crypto สำหรับเนื้อหาครับ

Share on facebook
Share on twitter
Share on linkedin

wissarut

ข่าวต่อไป

FOLLOW ME

Blockchain Life 2024

Crypto Coffee

Cryptomind Research Talk

CryptOmakase

ข่าวต่อไป