ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา Binance ได้ทำการเปิดตัว BAB Token ซึ่งเป็นเหรียญประเภท Soulbound ที่คล้ายกับเหรียญ NFT แต่ไม่สามารถโอนออกได้ และจะติดตัวกับผู้ใช้ไปตลอดชีวิต เหรียญนี้คืออะไร? แล้วจุดประสงค์ของ Vitalik และผองเพื่อนที่สร้างเหรียญนี้ขึ้นมาคืออะไร ? มันจะมีประโยชน์อะไรกับผู้ใช้งาน เดี๋ยวบทความนี้จะมาเล่าให้ฟังครับ
Soulbound เหรียญที่จะผูกติดกับผู้ใช้งานไปตลอดชีวิต
ในเดือนพฤษภาคม 2022 Vitalik ผู้ก่อตั้ง Ethereum Foundation, E. Glen Weyl และ Puja Ohlhaver ทำการเผยแพร่บทวิจัยร่วมของพวกเขาเรื่อง “Decentralized Society: Finding Web3’s Soul” โดยเนื้อหาจะเกี่ยวข้องกับโลก Web3 ที่ในปัจจุบันการทำธุรกรรมทางการเงินจะใช้สินทรัพย์ในการค้ำประกันทั้งหมดและตัดความเชื่อใจทิ้งออกไป ทางทีมจึงเสนอทางเลือกในการสร้าง Soulbound Token (SBT) ซึ่งเป็น NFT ที่ไม่สามารถโอนได้ (Non-Transferable)
ด้วยความที่เหรียญนี้ต้องผูกติดกับผู้ใช้ไปตลอดชีวิต ทำให้ SBT สามารถประยุกต์ใช้เป็น “พันธสัญญา”, “หนังสือรับรอง” หรือ “พันธผูกพัน” กับผู้ถือเหรียญได้ ทำให้เหรียญนี้เป็นเหมือนสิ่งยืนยันตัวตนในโลก Decentralized Society (DeSoc) ที่ต้องการความเป็นตัวตนของผู้ใช้งานจริง ไม่มีการแบ่งกระเป๋าจากหนึ่งคน (Sybil Resistance) และการแบ่งเสียงให้ลงมติด้วยรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
หลังจากทีบทวิจัยนี้เผยแพร่ออกมา SBT ก็ได้รับความสนใจอย่างมากจนบางคนยกให้เป็น “NFT 2.0” เลยก็ว่าได้ ในตอนนี้มีโปรเจคมากมายอย่าง Project Galaxy และ Galxe ที่มอง SBT เป็นเหมือนการเก็บ Achievement ของผู้ถือในการทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น ชั่วโมงเล่นเกมใน Stream และการทำเควสบน Optimism เป็นต้น
แล้ว BAB Token ของ Binance คืออะไร?
ในวันที่ 8 กันยายน 2022 Binance ได้ประกาศเปิดตัว BAB Token ซึ่งเป็น SBT ที่ผู้ใช้งาน Binance ที่ทำการยืนยันตัวตน (KYC) เรียบร้อยแล้วสามารถสร้าง BAB Token ของตัวเองบน BNB Smart Chain ได้ โดยเหรียญนี้จะสร้างได้เพียง “หนึ่งเหรียญ ต่อ หนึ่งบัญชี” เท่านั้น ผู้ถือเหรียญจะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่อยู่บน BNB Smart Chain ที่เปิดให้เฉพาะผู้ถือ BAB Token เท่านั้นได้ เหรียญนี้จึงเป็นเหมือนบัตรผ่านแบบ Exclusive ที่จะคัดเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่มีตัวตนจริง ซึ่งช่วยให้การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เข้าถึงผู้ใช้งานจริงได้มากขึ้นเท่านั้นโดยที่ยังได้รับความเป็นส่วนตัวอยู่เช่นเดิม
Use Case ของ BAB Token มีอะไรบ้าง?
ด้วยความที่ BAB Token นั้นมีลักษณะเป็นบัตรผ่านพิเศษที่เปิดให้ผู้ใช้งาน Binance ที่มีตัวตนจริง ๆ ถือได้เท่านั้น จึงมีโปรเจคที่ต้องการทำกิจกรรมให้เข้าถึงผู้ใช้งานโดยตรงถึง 14 โปรเจคอย่างเป็นทางการ ได้แก่ ApeSwap, Apollox, PearDAO, Project Galaxy, X World Games, Summoner’s Arena, Ultiverse, Cyberconnect , P12, Mathwallet, Liveart, OpenOcean, TinyWorld และ The Harvest ซึ่งประกอบด้วย DeFi, GameFi, Metaverse และ Social Platform ทั้งสิ้น โดยจะยกการใช้งานของบางโปรเจคให้เห็นภาพขึ้นดังนี้:
Apeswap: จะแจก ApeSwapNFT ให้กับผู้ถือ BAB Token ซึ่งจะมอบสิทธิประโยชน์ให้มากมาย ในขั้นแรกจะเป็นการสุ่มซึ่งจะได้รับภายใน 30 วัน จบวันที่ 9 ตุลาคม 2022
Project Galaxy: จะเป็นเหรียญที่ช่วยยืนยันตัวตนในโปรเจคเพื่อป้องกันการปั๊มไอดี (Sybil Attack) และยังเป็นเหรียญที่แสดงบน Galaxy ID ว่าเป็นผู้ที่ผ่านการ KYC จาก Binance แล้ว ทำให้อาจมีสิทธิพิเศษที่จะให้ได้เฉพาะกลุ่มในอนาคต
X World: เป็น GameFi Ecosystem ที่มีเกมหลากหลายประเภทภายใน และทุกครั้งที่ผู้ถือ BAB Token เข้าเกม จะได้รับ Airdrop หนึ่งครั้ง และยังได้รับสิทธิ์ระดับ VIP อีกด้วย
Ultiverse: จะผ่านขั้นตอน KYC ของ Metaverse โดยอัตโนมัติ และยังได้รับ Bonus Point ทุกวันที่เข้าไปในเมือง Terminus City พร้อมกับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ มากมาย
Cyberconnect: เป็น Decentralized Social Graph Protocol ที่จะยืนยันตัวตนให้ว่าเราไม่ใช่ Bot ทำให้สามารถใช้ Link3 ที่เป็นเครื่องมือในการสร้างอีเว้นท์ Stream Online บนนี้ได้
สรุปแล้ว BAB Token น่าสนใจหรือไม่?
BAB Token นั้นได้ช่วยแก้ปัญหาด้านการยืนยันตัวตนบนโลก Web3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ซึ่งจะปลดล็อคให้การทำกิจกรรมต่างนั้นเข้าถึงตัวบุคคลที่เป็นผู้ใช้งานจริงได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น โดยต้นทุนการทำนั้นใช้เพียง 1 BUSD เท่านั้น ไม่มีค่าใข้จ่ายในการดูแลหลังจากนี้ไปตลอดชีพและขั้นตอนการทำก็สะดวกจากการกดโดยตรงผ่าน App Binance สิ่งเหล่านี้นอกจากจะใช้แก้ปัญหาเรื่อง Sybil Attack ได้จริงและยังอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนที่ยังไม่คุ้นเคยในโลก DeFi เข้าไปใช้งานได้สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เขียนบทความโดย คุณอ๊อก พริษฐ์ บุญเลื่อน – Senior Researcher, Cryptomind Advisory เรียบเรียงโดย ทีมงาน Bitcoin Addict