Paolo Ardoino หัวหน้าเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีของ Tether เชื่อว่า การพัฒนาที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ทั่วโลกจะไม่ส่งผลกระทบต่อบทบาทของ stablecoin ของเอกชน
Ardoino แบ่งปันความเห็นของเขาใน Twitter เกี่ยวกับการสนทนาที่เพิ่มขึ้นของ CBDC และบทบาทของพวกเขาที่จะเข้ามาในระบบการชำระเงินปัจจุบัน โดยเขากล่าวว่า CBDC จะมาแทนที่เครือข่ายการชำระเงินแบบรวมศูนย์ที่เก่าแก่อย่าง SWIFT และใช้บล็อคเชนส่วนตัวเพื่อเติมเต็มธุรกรรมส่วนใหญ่
เขาอธิบายต่อไปว่า CBDC ไม่ได้เกี่ยวกับการแปลงสกุลเงิน Fiat ให้เป็นดิจิทัลอย่างที่เคยทำไปแล้ว เนื่องจากธุรกรรมสมัยใหม่ส่วนใหญ่เป็นแบบดิจิทัล โดยเป้าหมายหลักของ CBDC คือการใช้บล็อคเชนส่วนตัวเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยและควบคุมต้นทุน ซึ่งการโอนเงินผ่านธนาคารและธุรกรรมบัตรเครดิต/เดบิตส่วนใหญ่จะชำระผ่าน CBDC
2/
— Paolo Ardoino (@paoloardoino) March 10, 2022
– CBDCs are based on the idea that #tether had 8 years ago creating the first stablecoin
– CDBC will replace SWIFT etc
– banks will accept transfers via CBDCs as any wire
– CBDCs will settle most of credit/debit card flow, especially over the weekend
Tether CTO อ้างว่าเหรียญ Stablecoin ของเอกชนเช่น USDT จะยังคงมีความเกี่ยวข้องแม้ในยุคของสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐบาล เนื่องจาก Stablecoin เหล่านี้จะให้ตัวเลือกแก่ผู้ใช้ในการถ่ายโอนข้ามเครือข่าย และจะสามารถใช้ได้ในบล็อกเชนหลายตัวที่พวกเขาเลือก ซึ่ง CBDC ทำไม่ได้
3/
— Paolo Ardoino (@paoloardoino) March 10, 2022
– CBDCs will use private blockchain as modern and cost-controlled tech infrastructure
– CBDCs won't be issued on your favourite chain, private stablecoins will continued to serve that use case
Point being: tech evolves but nothing actually changes.
Only #bitcoin is our edge.
การออกมากล่าวของ Ardoino เกิดขึ้นจากการถกเถียงกันมากขึ้นว่า CBDC จะมาลดบทบาทของภาคธุรกิจของ stablecoin เอกชนหรือไม่ รวมถึงการอภิปรายในสหรัฐอเมริกาหลังจากการเรียกร้องจากฝ่ายนิติบัญญัติหลายรายเพื่อควบคุมตลาด Stablecoin
ปัจจุบันมี 86 ประเทศ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลอย่าง CBDC โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 และจาก 86 ประเทศเหล่านี้ มี 9 ประเทศที่เปิดตัว CBDC ไปแล้ว ในขณะที่มี 15 ประเทศอยู่ในช่วงของการนำร่อง
