โปรเจคต์ Velo เป็นโปรเจคต์ด้าน Blockchain ที่จะมาปฎิวัติวงการการเงิน ซึ่งโปรเจคต์นี้นั้นมีความน่าสนใจอยู่ตรงที่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจไทยอย่าง คุณ ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ แห่งเครือ CP และยังได้ Jed McCaleb ที่เป็น Co-founder ของ Stellar มาเป็นที่ปรึกษาด้วย
Velo คืออะไร
Velo เป็น Open protocol ที่ทำให้บริษัทในเครือหรือใครก็ตามสามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า Digital Credit ได้ โดย Digital Cradit นี้จะเป็นสิ่งที่มีมูลค่าซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆในธุรกิจของพวกเขา ไม่ว่าจะการโอนเงิน การปล่อยกู้ การทำ Loralty Point หรือการทำ Stablecoin โดยใช้ประโยชน์จาก Blockchain ของ Stellar แล้วการสร้าง Digital Reserve System มาคงมูลค่าของ Digital Credit
ปัญหาที่ Velo ต้องการแก้ไข
แนวคิดของ Velo คือการที่ทุกวันนี้ Cryptocurrency เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆมากมายแต่ปัญหาหลักของมันคือการที่มูลค่าของมันไม่คงที่จากหลายๆปัญหาไม่ว่าจะ การเก็งกำไร และการขาดสภาพคล่องที่ทำให้ Cryptocurrency ไม่สามารถกลายเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่ที่สามารถใช้งานได้ดี สภาพคล่องของ Cryptocurrency เมื่อเทียบกับธุรกิจใหญ่ๆที่มีนั้นมีเป็นสภาพคล่องที่น้อยมาก ทำให้ผู้ใช้งานและธุรกิจต่างๆไม่ยอมรับใน Cryptocurrency ที่มูลค่าอาจจะเพิ่มขึ้นสองเท่าหรือตกลงครึ่งหนึ่งในทันที แม้ว่ามันจะมีคุณสมบัติในการโอนอย่างไร้พรหมแดนก็ตาม
การทำงานของ Velo Protocol
การที่ Velo Protocol จะสามารถเป็นเครื่องจักรที่ส่งมูลค่าได้มันมีองค์ประกอบอยู่สามสิ่งนั้นคือ Digital Credit Issuance Mechanism, Digital Reserve System, Reputation System รวมไปถึงเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจต่างๆสามารถใช้ Velo Protocol ในการสร้างความเป็นไปได้ทางการเงินต่างๆ
Digital Credit Issuance
การสร้าง Digital credit ขึ้นมาสำหรับธุรกิจนั้นสามารถทำได้โดยโอน Velo Token ให้กับ Velo Labs ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวกลางที่คำประกันมูลค่าของ Digital credit ที่จะถูกจัดการโดย Digital Reservse System
Digital Reserve System
DRS จะเป็นอัลกอริทึ่มที่ใช้ Smart contract ในการจัดการ Velo Lab pool ที่จะทำหน้าที่ทำให้มูลค่าของ Digital Credit ทีมูลค่าคงที่ด้วยการเพิ่มหรือลด Supply ที่มีในตลาดในกรณีที่มูลค่าของ Velo Tojen ผันผวน
Reputation System
หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจคือทาง Velo Labs นั้นจะสามารถทำการปล่อยกู้ Velo Token ได้และถ้าธุรกิจใดที่มีประวัติชำระเงินที่ตรงเวลาก็จะสามารถหยิบยืม Velo Token ในจำนวนมากได้
โอกาสของตลาด
ด้วย Digital Credit แล้วมันจะทำให้ธุรกิจต่างๆสามารถสร้างรูปแบบการให้บริการต่างๆที่ดีขึ้นและมีต้นทุนที่ลดลงได้เช่น
- Cross Border Remitance ที่มีมูลค่ากว่า 7 แสนล้านดอลลาร์ ด้วย Velo การโอนเงินจำนวนมากผ่าน Digital Credit จะมีต้นทุนที่ต่ำลง
- Lending ที่มีมูลค่า 950 ล้านดอลลาร์ด้วย Velo การกู้ยืมจะมีต้นทุนที่ต่ำลงเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วมากกว่าระบบธนาคารปกติ
- Stablecoin ที่มีมูลค่ากว่า 6.2 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจาก Digital credit ถูกค้ำประกันด้วย Velo ทำให้มันมีมูลค่าคงที่ ทำให้ธุรกิจใดๆก็ตามสามารถนำมันไปใช้ออก Stablecoin ของธุรกิจนั้นอย่างง่ายดาย
- Payment ที่มีมูลค่ากว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ด้วย Ecosystem ของ Velo ซึ่งเหมาะแก่การนำไปใช้ในระบบ Payment ทั้ง digital และ physical
- Loyalty Point ที่มีมูลค่ากว่า 9.3 พันล้านดอลลาร์ โดยปกติแล้วพวก Loyalty Point และ Giftcard นั้นสร้างปัญหาให้แก่ผู้ที่ได้รับและผู้ที่คิดแคมเปญเพราะส่วนมากแล้วมี Gift card เพียง 38% เท่านั้นที่จะถูกใช้งานก่อนหมดอายุและในทางกลับกันผู้คิดแคมเปญก็มีปัญหาเช่นกันเช่นการเตรียมสินค้าคงคลังให้เพียงพอ แต่ถ้ามันกลายเป็น Token เท่ากับว่ามันจะสามารถซื้อขายในตลาดรองได้
ตัวอย่างการใช้งาน Loyalty Point
โดยปกติแล้วพวก Loyalty Point และ Giftcard นั้นสร้างปัญหาให้แก่ผู้ที่ได้รับและผู้ที่คิดแคมเปญเพราะส่วนมากแล้วมี Gift card เพียง 38% เท่านั้นที่จะถูกใช้งานก่อนหมดอายุและในทางกลับกันผู้คิดแคมเปญก็มีปัญหาเช่นกันเช่นการเตรียมสินค้าคงคลังให้เพียงพอ แต่ถ้ามันกลายเป็น Token เท่ากับว่ามันจะสามารถซื้อขายในตลาดรองได้
ทำไม Velo ถึงน่าสนใจ
- Advisor และทีมงานจากทายาทเครือ CP ที่เรารู้กันดีว่ามีเงินทุนหนาและเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตในเมืองไทยซึ่งไม่แปลกที่เครือนี้จะเข้ามาจับจองพื้นที่ในตลาดรวมทั้ง Jed McCaleb ที่เป็น Co-founder ของ Stellar
- Ecosystem + tokenomic เน้นไปในเชิง Bussiness มากกว่าที่จะเจาะกลุ่ม Retail User ซึ่งเหรียญอาจจะถูกใช้งานจากบริษัทในเครือก่อนที่จะมาถึงผู้บริโภคซึ่งอาจจะเกิดการคงมูลค่าได้
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีประกาศชัดเจนว่าจะทำ ICO หรือ IEO ที่ราคาเท่าไหร่ซึ่งดูจาก Model แล้วหากจะแก้ไขเรื่องสภาพคล่องทางธุรกิจเงินทุนที่จะระดมน่าจะไม่ต่ำกว่า 30 ล้านดอลาร์และอาจจะเป็นนักลงทุนที่เป็นพาร์ทเนอส่วนใหญ่เสียด้วยจึงอาจจะไม่เกิดการ FOMO ของคอมมูนิตี้ที่ทำให้ราคาขึ้นแบบหวือหวา
