โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯมีกำหนดจะหมดอายุในไม่ช้า และหากไม่มีการขยายระยะเวลาออกไป อาจจะกระทบต่อตลาดหุ้นและราคา Bitcoin
ตามรายานของ Delphi Digital ระบุว่ารัฐบาลใช้จ่ายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ไปแล้วถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณรายเดือนของเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 864 พันล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นตัวเลขที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐยังคงพิมพ์เงินเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ และโครงการที่สำคัญ เช่น Paycheck Protection Program (PPP) ที่กำลังดิ้นรนเพื่อสร้างผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง เนื่องจากธุรกิจกว่า 65,000 แห่งในสหรัฐปิดตัวไปในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ Goldman Sachs ระบุว่า 88% ของผู้รับเงินกู้จากสินเชื่อ PPP คาดว่าเงินจะหมดลงภายในสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้เตือนว่าจำนวนของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่ยื่นฟ้องล้มละลายอาจจะเพิ่มขึ้นสามเท่าเร็ว ๆ นี้
นอกเหนือจากธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีการปิดตัวจำนวนมากแล้ว รายได้ก็ลดลงประมาณ 20% สำหรับธุรกิจที่ยังคงเปิดอยู่ สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการที่รัฐบาลสั่งให้หยุดการทำงานมาเป็นเวลานาน
ความสัมพันธ์ของ Bitcoin และตลาดหุ้น
ด้วย Bitcoin มีการซื้อขายแบบ sideways ตลอดเดือนที่ผ่านมาและโวลลุ่มก็ลดน้อยลงทั้งใน spot และอนุพันธ์ เนื่องจากตลาดยังมีความกังวลหลายอย่างในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจทำให้ราคา Bitcoin ลดลงได้เช่นเดียวกับในวันที่ 12 มีนาคม
นักวิเคราะห์กำลังแนะนำว่า หากรัฐบาลไม่ขยายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนอาจจะเปลี่ยนไปในทิศทางลบ และหากตลาดหุ้นตกล่ะก็ ราคา Bitcoin ก็มีแนวโน้มที่จะตามไปด้วย เนื่องจากระดับความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นระหว่างทั้งสองตลาด
จากข้อมูลของ Skew พบว่าความผันผวนระหว่าง Bitcoin และ S&P 500 ยังคงเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดใหม่และปัจจุบันอยู่ที่ 38.9%
ความผิดพลาดในการลงทุนในตลาดหุ้น อาจส่งผลให้ราคา Bitcoin ตกลง และอาจก่อให้เกิดการชำระบัญชีคล้ายกับที่เกิดขึ้นในวันที่ 12 มีนาคมก็เป็นได้
ในปัจจุบันอัตราการติดเชื้อ COVID-19 ของสหรัฐฯ กำลังพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือความจริงที่ว่า มาตรการช่วยเหลือผู้ว่างงานของรัฐบาลสหรัฐฯภายใต้กฎหมาย CARES Act จะสิ้นสุดในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอามาก ๆ เนื่องจากอัตราการว่างงานที่ยังสูงมากและการใช้จ่ายของผู้บริโภคก็ลดลงอย่างมาก แต่รายงานล่าสุดจาก Bloomberg กลับระบุว่า วอลล์สตรีทยังคงมองเป็นขาขึ้นในตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่า FED จะเริ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่อย่างแน่นอน ซึ่งจะช่วยหนุนตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้
อ้างอิง : LINK