Scott Melker นักวิเคราะห์ Crypto กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นและ Bitcoin ( BTC ) ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันนับตั้งแต่เกิดการร่วงครั้งใหญ่: “แต่พวกเขาไม่ใช่สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กัน”
ใน Twitter ของเค้าที่มีผู้ติดตาม 84,000 คนของโดยใช้ชื่อว่า “The Wolf Of All Streets” ได้ระบุทฤษฎีของเขาว่าทำไม Bitcoin จะก้าวสู่เส้นทางของตัวเองในช่วงวิกฤตการเงิน
Melker มองที่ราคาของ BTC นับตั้งแต่เกิดขึ้นมาในปี 2009 และเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ในตลาดดั้งเดิม เช่น หุ้น โดยจากข้อมูลของ Melker สกุลเงินดิจิตอลนั้นมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับตลาดแบบดั้งเดิมในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
ประวัติศาสตร์บอกเล่าเรื่องราว
Melker อธิบายในรายละเอียดว่า “คุณสามารถเปรียบเทียบสินทรัพย์ 2 ชนิดในระดับ -1 ถึง 1 โดยที่ 1 หมายถึงสินทรัพย์ทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน”
ข้อมูลจากรายงานของ eToro ที่เพิ่งเปิดตัวในไตรมาสที่ 1 ปี 2020พบว่า BTC และ SPX (Standard and Poor’s 500 index) มีความสัมพันธ์กันที่ 0.59 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 แต่เมื่อเกิดไวรัสแพร่ระบาดขึ้น ความสัมพันธ์ขยับมาอยู่ที่ 0.72
การร่วงเมื่อวันที่ 12 มีนาคมเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่?
หลังจากผ่านการร่วงอย่างหนักไปแล้ว BTC ก็เพิ่มขึ้นจนผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ทางด้าน SPX ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามในทันทีจนถึงสัปดาห์ต่อมา
Melker กล่าวว่า นักเทรดควรทราบถึงความแตกต่างระหว่างประสิทธิภาพของ cryptocurrencies และตลาดหุ้นในช่วงเวลานี้:
“สำหรับช่วงเวลา 9 วันนั้น ราคา Bitcoin เพิ่มขึ้นในขณะที่ SPX กำลังลดลง ขณะที่ภาพรวมนั้น ราคา Bitcoin เพิ่มขึ้น 84% ในเวลานั้น ซึ่งหากเชื่อว่าพวกเขามีความสัมพันธ์โดยตรงก็หมายความว่า Bitcoin เป็นผู้นำตลาด”
ทำไมนักลงทุนยังคงมองหา Bitcoin
เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงของหุ้น IMF หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าจะเกิดการชะลอตัวครั้งใหญ่ที่สุด หาก Bitcoin ไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้น นั่นก็อาจพิสูจน์ได้ว่า Bitcoin นั้นเป็นวิธีที่ดีในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
Bitcoin อาจไม่ใช่ safe haven แต่มันก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
“นี่คือเหตุผลที่นักลงทุนทุกคนควรถือ Bitcoin บางส่วน – มันมีความเสี่ยงแบบแปลกประหลาดมากกว่าความเสี่ยงที่เป็นระบบเช่นเดียวกับสินทรัพย์อื่น ๆ แม้ว่าจะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง แต่การมีสิ Bitcoin ในพอร์ตการลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตเนื่องจากความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดนี้
ที่มา : LINK
