เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโต Bybit ได้เปิดตัว API บัญชีดำ เพื่อช่วยติดตามกระเป๋าเงินที่เกี่ยวข้องกับการแฮ็กครั้งใหญ่ของกลุ่ม Lazarus ซึ่งทำให้แพลตฟอร์มสูญเสียเงินไปมากกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์
ตามประกาศอย่างเป็นทางการ API นี้จะช่วย แฮ็กเกอร์สายขาว (White Hat Hackers) ในการกู้คืนเงินผ่านโปรแกรมล่าค่าหัว (Bounty Program) ของ Bybit โดยบริษัทจะอัปเดตรายการบัญชีดำเป็นระยะเพื่อรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ
Ben Zhou ซีอีโอของ Bybit กล่าวถึงความร่วมมือในอุตสาหกรรมคริปโตว่า:
“ผมรู้สึกทึ่งกับความร่วมมือของชุมชนทั้งบนบล็อกเชนและในโลกแห่งความจริง นี่อาจเป็นช่วงเวลาสำคัญของอุตสาหกรรม หากเราจัดการได้ถูกต้อง เราสามารถร่วมกันสร้างระบบป้องกันภัยไซเบอร์ที่แข็งแกร่งขึ้นได้”
การประกาศโปรแกรมล่าค่าหัวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามกู้คืนเงินที่ถูกขโมยไป ซึ่ง Ben Zhou เผยว่า Bybit กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในสิงคโปร์ และหารือกับ Ethereum Foundation เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา
ชุมชนคริปโตเรียกร้องให้ย้อน Ethereum Blockchain
หลังจากการแฮ็กครั้งใหญ่มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ ย้อนสถานะของ Ethereum Blockchain กลับไปก่อนเกิดเหตุการณ์โจมตีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์
ในการพูดคุยผ่าน X Spaces เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ซีอีโอของ Bybit ถูกถามถึง ความเป็นไปได้ในการย้อนสถานะบล็อกเชน เพื่อลบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้
Zhou ตอบว่า เขาไม่แน่ใจว่าการย้อนเชนเป็นแนวทางที่ถูกต้องหรือไม่ แต่หากมีการพิจารณาจริง ก็ควรเป็นการตัดสินใจของชุมชน ไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม Tim Beiko นักพัฒนาแกนหลักของ Ethereum ได้ออกมาแย้งแนวคิดนี้ โดยกล่าวว่า การย้อนบล็อกเชนในกรณีนี้เป็นไปไม่ได้ทางเทคนิค
Beiko อธิบายเพิ่มเติมว่า:
“ช่องโหว่ที่เกิดขึ้นทำให้ธุรกรรมดูเหมือนเป็นอย่างหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วทำสิ่งที่แตกต่างออกไป”
เขากล่าวว่าธุรกรรมที่เกิดขึ้น ไม่ได้ละเมิดกฎของโปรโตคอลโดยตรง ดังนั้น การย้อนสถานะจะส่งผลกระทบต่อระบบในวงกว้าง และอาจสร้างความเสียหายมากกว่าผลดี
Beiko ยังชี้ให้เห็นว่า กรณี DAO Hack ปี 2016 ซึ่ง Ethereum เคยย้อนเชนมาก่อนนั้น เป็นสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยสรุปว่า การย้อนเชนครั้งนี้ไม่มีทางออกที่ชัดเจนและปลอดภัย
อ้างอิง : cointelegraph.com
ภาพ thehackernews.com