Genesis ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสินเชื่อสถาบันที่ยื่นล้มละลายในปี 2023 ได้ประกาศเสร็จสิ้นแผนการปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรา 11 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม และได้จ่ายเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ให้กับฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บ
เจ้าหนี้ “จะได้รับผลตอบแทน 51.28% เมื่อประเมินมูลค่าตามมูลค่าสิ่งของในรูปของ BTC” และ Ether โดยเจ้าหนี้จะได้รับเงินคืน 65.87% ที่จ่ายเป็นสกุลเงินดิจิทัล
เจ้าหนี้ altcoin ส่วนใหญ่จะได้รับคืนสินทรัพย์ดิจิทัล 87.65% โดย Solana เป็นข้อยกเว้น โดยเจ้าหนี้ที่เรียกร้อง SOL จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการเรียกคืน 29.58% ซึ่งจะต้องชำระเป็นเงินสดอีกครั้ง ส่วนเจ้าหนี้ Stablecoin และเงินสดมีสิทธิ์ได้รับเงินคืน 100% ของการสูญเสียในรูปแบบของดอลลาร์สหรัฐ ตามแผนการปรับโครงสร้างใหม่
นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งกองทุนเพื่อดำเนินคดีมูลค่า 70 ล้านดอลล่าร์สำหรับเจ้าหนี้ที่ต้องการดำเนินคดีทางกฎหมายเพิ่มเติมกับบุคคลที่สามที่เกี่ยวข้องกับการล้มละลาย เช่น Digital Currency Group (DCG) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Genesis อีกด้วย
บริษัท Genesis มีส่วนร่วมในการให้สินเชื่อแก่สถาบัน โดยกู้ยืมเงินจากบริษัทต่างๆ เช่น บริษัท Gemini ของฝาแฝด Winklevoss และปล่อยกู้ให้กับบริษัทต่างๆ เช่น Three Arrows Capital
และผลจากการผิดนัดชำระหนี้ของ Three Arrows Capital ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง Cameron Winklevoss ผู้ก่อตั้งร่วมของ Gemini และ Barry Silbert ซีอีโอของ Digital Currency Group โดย Winklevoss ได้วิพากษ์วิจารณ์ซีอีโอของ DCG ต่อสาธารณชนหลายครั้ง โดยกล่าวหาว่าเขาฉ้อโกงและไม่สามารถบริหารกลุ่มบริษัทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Grayscale, Foundry, Luno และ Genesis ได้
ล่าสุด Genesis ตกลงยอมจ่ายเงิน 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (Securities and Exchange Commission) จากข้อกล่าวหาว่าขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ลงทะเบียนควบคู่ไปกับโปรแกรม Geminin Earn
อ้างอิง : cointelegraph.com
ภาพ theblock.co