วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้รับรองการแต่งตั้ง สก็อตต์ เบสเซนต์ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 มกราคม วุฒิสภาลงมติ 68 ต่อ 29 เสียงรับรอง เบสเซนต์โดยมีสมาชิกพรรคเดโมแครต 16 คนสนับสนุนการเสนอชื่อนี้
แบรด การ์ลิงเฮาส์ ซีอีโอของ Ripple ได้แสดงความยินดีกับ เบสเซนต์ บนแพลตฟอร์ม X โดยกล่าวเสริมว่าเขา “มั่นใจว่า เบสเซนต์ จะออกนโยบายเศรษฐกิจที่สมเหตุสมผล โดยร่วมมือกับรัฐบาลและสภาคองเกรสเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและคริปโตของสหรัฐฯ”
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เบสเซนต์ จะมีอิทธิพลต่อการจัดเก็บภาษีของประเทศและตลาดพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 28 ล้านล้านดอลลาร์ เขายังจะมีอิทธิพลต่อนโยบายการคลัง กฎระเบียบทางการเงิน มาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ และการลงทุนในต่างประเทศ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐเทนเนสซีวัย 62 ปีรายนี้ สนับสนุนวาระเศรษฐกิจของทรัมป์อย่างเต็มที่ รวมถึงการต่ออายุการลดภาษี 4 ล้านล้านดอลลาร์ที่กำลังจะหมดอายุ การใช้มาตรการภาษีศุลกากร และการเพิ่มการผลิตน้ำมัน เขายังคัดค้านแนวคิดที่ว่านโยบายของทรัมป์จะทำให้เกิดเงินเฟ้อ ตามรายงานของรอยเตอร์
ระหว่างการพิจารณารับรองเบสเซนต์กล่าวว่าการใช้จ่ายของรัฐบาล “ไร้การควบคุม” โดย เบสเซนต์ เป็นที่รู้จักในฐานะผู้สนับสนุนคริปโตและต่อต้านแนวคิดเรื่องสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง เช่นเดียวกับประธานาธิบดีทรัมป์
“ผมไม่เห็นเหตุผลที่สหรัฐฯ จะต้องมีสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง” เขากล่าวในการรับฟังของคณะกรรมาธิการการเงินวุฒิสภาเมื่อวันที่ 16 มกราคม เขายังกล่าวว่าสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางเหมาะสำหรับประเทศที่ “ไม่มีทางเลือกในการลงทุนอื่น” และ “ทำไปเพราะความจำเป็น”
เบสเซนต์ บอกกับ Fox Business ในเดือนกรกฎาคมว่าเขา “รู้สึกตื่นเต้นกับการที่ประธานาธิบดีสนับสนุนคริปโต และผมคิดว่ามันเข้ากันได้ดีมากกับพรรครีพับลิกัน คริปโตเกี่ยวข้องกับเสรีภาพ และเศรษฐกิจคริปโตจะอยู่ต่อไป”
ภายใต้คำสั่งบริหารด้านคริปโตของทรัมป์เมื่อวันที่ 23 มกราคม กระทรวงการคลังจะมีบทบาทในคณะทำงานของรัฐบาลเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์นโยบายคริปโตของสหรัฐฯ เดวิด แซ็กส์ ผู้ดูแลด้าน AI และคริปโตของทรัมป์ รวมถึงประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และประธานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า จะเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงานนี้ด้วย
อ้างอิง : cointelegraph.com
ภาพ cnbc.com