อาชญากรด้านคริปโตอาจไม่ใช่กลุ่มเดียวที่พยายามซ่อนการเคลื่อนย้ายเงินที่ผิดกฎหมายข้ามบล็อคเชน ซึ่งจากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ Chainalysis พบว่า ผู้ฟอกเงินแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นอาชญากรที่ทำงานนอกระบบคริปโต อาจย้ายเงินของพวกเขาไปยังบล็อคเชนด้วยเช่นกัน
รายงานล่าสุดของ Chainalysis เกี่ยวกับการฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัลที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ได้เปิดเผยเกี่ยวกับโลกของการโอนเงินผ่านเครือข่ายที่ดูเหมือนจะกำลังเฟื่องฟู โดยพบว่า ผู้ฟอกเงินแบบดั้งเดิมกำลังเริ่มหันมาใช้เครือข่าย crypto เพื่อสร้าง “โครงสร้างพื้นฐานการฟอกเงินขนาดใหญ่” เพื่อทำความสะอาดเงินสดที่มีต้นทางมาจากภายนอก ตามที่ Kim Grauer หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Chainalysis กล่าว
การโอนเหล่านี้ไม่ได้มาจากการหลอกลวง , การโจรกรรม , และการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Chainalysis ขึ้นชื่อในการทำเครื่องหมายบนบล็อคเชน แต่เป็นบัญชีดิจิทัลที่โปร่งใสสำหรับธุรกรรมคริปโตทั้งหมด โดยซอฟต์แวร์และระบบของ Chainalysis ช่วยให้เว็บเทรดคริปโตและหน่วยงานอื่นๆ หลีกเลี่ยงการรับเงินจากกิจกรรมทางอาญา และช่วยให้ผู้สืบสวนของรัฐบาลติดตามผู้ต้องสงสัยได้
ในทางตรงกันข้าม ธุรกรรมประเภทที่ไม่โปร่งใสนี้มาจากกระเป๋าเงินที่ไม่ทราบว่าผิดกฎหมายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมเหล่านี้ไหลผ่านบล็อคเชนและเข้าสู่เว็บเทรดตามกลยุทธ์ที่แผนกปฏิบัติตามกฎระเบียบทางการเงินแบบดั้งเดิมมักจะใช้ ตัวอย่างเช่น การแยกออกเป็นชุดย่อย ๆ ที่มีขนาดต่ำกว่าเกณฑ์ แล้วจึงค่อยรวมเข้าด้วยกันในภายหลัง
Grauer กล่าวว่าผู้สืบสวนบนเครือข่ายส่วนใหญ่คงไม่แปลกใจที่สิ่งนี้อาจเป็นปัญหาได้เป็นเวลาหลายปี อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่ารายงานในเดือนกรกฎาคมเป็นความพยายามครั้งแรกของ Chainalysis ที่จะบันทึกว่ามีการพบแนวโน้มดังกล่าวว่ามีขนาดใหญ่เพียงใดทั่วทั้งบล็อกเชน และบริษัทพบว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าฐานธุรกรรมผิดกฎหมายที่ทราบกันดีเสียอีก
ในความเป็นจริง Chainalysis พบว่ามีธุรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์เล็กน้อย ซึ่งในจุดนี้กฎ Know Your Customer เพิ่มเติมจะเริ่มทำงาน เมื่อวิเคราะห์การโอนทั้งหมดที่ส่งไปยังเว็บเทรดในปี 2024
“ผู้สืบสวนของเรานำหลายสิ่งมาพิจารณาเมื่อต้องตัดสินใจว่าสิ่งใดน่าสงสัยหรือไม่ และนี่อาจเป็นสิ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์การกระทำผิดอย่างแน่นอน” Grauer กล่าว
อ้างอิง : coindesk.com
