MAXBIT ลงสนามแข่งตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยเต็มสูบ หลังจากได้ใบอนุญาตโบรกเกอร์สินทรัพย์ดิจิทัลจากสำนักงาน ก.ล.ต. และเริ่มทดสอบธุรกิจในกลุ่มย่อย (close beta) ทันทีในเดือนธันวาคม 2566 และเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนจนถึงปัจจุบันเรียกได้ว่า “เติบโตอย่างก้าวกระโดด” พร้อมชิงมาร์เก็ตแชร์ 10% ของตลาดในปีนี้ ขณะที่ยังคงย้ำเป้าขึ้นอันดับ 2 ภายในปีนี้ หนุนรายได้ธุรกิจ ‘นอนออยล์’ (Non-oil) กลุ่มพีทีจีเติบโตยั่งยืน
นายปกเขตร รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด (Maxbit) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดปีนี้ในช่วง 9-10% หรือมีปริมาณการซื้อขายต่อเดือน 6,000-9,000 ล้านบาท จากคาดการณ์ปริมาณการซื้อขายรวมในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย 60,000-90,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งหากทำได้ตามเป้าก็น่าจะกลายมาเป็นผู้เล่นอันดับ 2 ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับ Maxbit ในฐานะผู้เล่นรายใหม่ ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันที่มีแนวโน้มเข้มข้นมากในปีนี้ อย่างไรก็ตาม Maxbit มีแผนขยายฐานลูกค้าทั้งกลุ่มที่รู้จักคริปโทฯ อยู่แล้ว และกลุ่มนักลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิมอย่างตลาดหุ้น และนับจากนี้ไปจะเริ่มทำการตลาดเชิงรุกเพื่อส่งเสริมแบรนด์ Maxbit ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นและจะใช้ Virtual แบรนด์แอมบาสเดอร์ผ่านน้อง “Mei Nakamoto” (เมอิ นากาโมโตะ)
ภายในสิ้นปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ามีฐานลูกค้า 350,000 รายด้วยจุดแข็งจากฐานสมาชิก Max Card กว่า 21.5 ล้านสมาชิกรวมถึง Touchpoints กว่า 1.5 ล้าน Touchpoints ที่ Maxbit จะต่อยอดมาเป็นลูกค้าได้ประมาณ 150,000-200,000 ราย
โดยหลังจาก MAXBIT เปิดบริการแบบกลุ่มย่อย (Close beta) ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ในเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นเดือนแรกในการเปิด Close beta มีปริมาณการซื้อขายเพียงแค่ 5 ล้านบาท แต่โตขึ้นเป็น 240 ล้านบาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และได้เปิดธุรกิจเต็มตัวในเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งบริษัทฯยังไม่ได้บุกตลาดเต็มที่ แต่มีปริมาณการซื้อขายบนแพลตฟอร์มมากถึง 312 ล้านบาท ถือว่าเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 30% และในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทฯมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากกว่า 1,300 ล้านบาท (เติบโต 331% จากเดือนก่อนหน้า)
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คาดว่าหาก Maxbit ยังคงรักษาโมเมนตัมของปริมาณการซื้อขายในระดับนี้ต่อไปได้จนถึงสิ้นปีก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปเป็นผู้เล่นที่มีวอลุ่มเทรดเป็นอันดับ 2 ในตลาดได้ แต่ก็ยอมรับว่าอันดับ 2 และ 3 น่าจะขับเคี่ยวกันอยู่พอสมควร