Mihailo Bjelic ผู้ร่วมก่อตั้ง Polygon ได้เสนอให้อัปเกรดเครือข่าย Polygon proof-of-stake (PoS) เป็นเวอร์ชัน “zkEVM validium” ตามโพสต์ในฟอรัมเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน โดยหากมีการอัปเกรดเวอร์ชันใหม่ จะใช้ zero-knowledge proofs เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
Polygon PoS เป็นโซลูชันการปรับขนาด Ethereum ที่มีมูลค่า TVL รวมมากกว่า $900 ล้าน และทำธุรกรรมมากกว่า 2 ล้านรายการต่อวัน เปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 โดยในเดือนมีนาคม ทีมงาน Polygon ได้เปิดตัวเครือข่าย Polygon zkEVM ที่ใช้ zero-knowledge proof rollups เพื่อปรับขนาด Ethereum
ในโพสต์เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน Bjelic ได้เสนอให้อัปเกรดเครือข่าย PoS แบบเก่าเป็นเวอร์ชัน zkEVM — หรือ zero-knowledge Ethereum Virtual Machine ทำให้ทั้งสองเครือข่ายจะพึ่งพา zero-knowledge proofs อย่างไรก็ตาม มันไม่เหมือนกับเครือข่ายที่เพิ่งเปิดตัวในเดือนมีนาคม โดยเวอร์ชั่นใหม่ของ Polygon PoS จะไม่ใช่ “rollup” Bjelic กล่าว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มันจะไม่เก็บข้อมูลธุรกรรมที่ถูกบีบอัดไว้บน Ethereum แต่จะเป็น “validium” ที่เก็บเฉพาะหลักฐานการตรวจสอบในเลเยอร์ 1 ในขณะที่ข้อมูลธุรกรรมจริงจะถูกเก็บไว้ในเครือข่ายแยกต่างหาก
สิ่งนี้จะทำให้ Polygon PoS มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำกว่า Polygon zkEVM นอกจากนี้ยังจะเพิ่มความปลอดภัยของ Polygon PoS เนื่องจากจะทำให้เครือข่ายสามารถสืบทอดความปลอดภัยของ Ethereum ได้
เมื่อดำเนินการอัปเกรดแล้ว อาจใช้ Polygon zkEVM สำหรับธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงซึ่งความปลอดภัยมีความสำคัญสูงสุด ในขณะที่ Polygon PoS อาจกลายเป็นเครือข่ายสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมและโซเชียลมีเดีย ตามที่ Bjelic แนะนำ
“การอัพเกรด Polygon PoS (zkEVM validium) จะมอบความสามารถในการปรับขนาดที่สูงมาก และค่าธรรมเนียมที่ต่ำมาก โดยมี tradeoff กับการจัดเก็บข้อมูลธุรกรรมในเครื่องแทนที่จะเป็น Ethereum ซึ่งมันจะเหมาะมากสำหรับแอปพลิเคชันที่มีปริมาณธุรกรรมสูงและต้องการค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำ เช่น เกมบนเว็บ 3 และโซเชียล”
ข้อเสนออย่างไม่เป็นทางการของเขาอาจกลายเป็นข้อเสนอการปรับปรุง Polygon อย่างเป็นทางการภายในเดือนพฤศจิกายน และดำเนินการบน mainnet ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2024
การเปิดตัว Polygon zkEVM และการอัปเกรด Polygon PoS เป็นส่วนหนึ่งของแผนอันยิ่งใหญ่ของทีมในการสร้าง “Supernet” ที่รวมเครือข่ายเฉพาะแอปพลิเคชันต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งผู้พัฒนาเรียกโครงการนี้ว่า “Polygon 2.0”