เครือข่าย EOS มีอายุครบห้าขวบ โดยเคยขึ้นไปติดชาร์ตในสิบอันดับแรกของสกุลเงินดิจิทัลตามมูลค่าตลาด แต่ปัจจุบันหล่นมาอยู่ใน 50 อันดับแรก แต่ La Rose จาก EOS Network Foundation เชื่อว่าปีแห่งการพัฒนาของ EOS ได้สอนพวกเขามากมาย และโครงการบล็อคเชนยังเพิ่งเริ่มต้น และขอขอบคุณชุมชนทั้งหมด
EOS ซึ่งเปิดตัวพร้อมกับการประโคมข่าวด้วยเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง ต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายครั้งในช่วงห้าปีที่ผ่านมา โดยเคยได้รับการขนานนามว่าเป็น ICO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ EOS ที่สามารถระดมทุนได้มากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018
อย่างไรก็ตาม โปรเจกต์เจอปัญหาความแออัดที่ตามมา รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับการรวมศูนย์โดยนักวิจัย ทำให้นักพัฒนาต่างอพยพออกจากระบบนิเวศ EOS ทำให้การพัฒนาที่หายไป ซึ่งทำให้ชุมชนรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและถูกหลอก
ด้วยเหตุนี้ EOS Network Foundation (ENF) ที่จัดตั้งขึ้นโดยชุมชนซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร จึงลงมือเพื่อฟื้นฟูสิ่งที่เหลืออยู่โดยกำจัดบริษัทผู้ก่อตั้งอย่าง Block.one
และตั้งแต่ ENF เข้าครอบครอง EOS ก็ได้ประกาศเปิดตัว mainnet ของ Ethereum Virtual Machine (EVM) รุ่นเบต้า ซึ่งออกแบบมาเพื่อปรับปรุงความสามารถในการทำงานร่วมกันกับ Ethereum Blockchain โดยแพลตฟอร์มบล็อกเชนแบบโอเพ่นซอร์สยังได้ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ market maker และบริษัทด้านการลงทุน DWF Labs ผ่านข้อตกลงการลงทุนมูลค่า 60 ล้านดอลลาร์เพื่อเร่งการเติบโตและการพัฒนาของระบบนิเวศ
ต่อมายังได้ให้คำมั่นว่าจะมอบเงินจำนวน 20 ล้านดอลลาร์ให้กับนักพัฒนาที่ต้องการสร้าง DeFi รวมถึงโปรเจ็กต์ GameFi แก่ผู้ใช้ EOS และเพื่อการฟื้นฟูเครือข่าย ENF ยังได้ร่วมมือกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น Binance และ Messari
ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ ENF Yves La Rose ได้ฉลองครบรอบ 5 ปีของการเปิดตัวและกล่าวว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจาก “ความยืดหยุ่น” ของชุมชน EOS
“เราอดทนต่อความไม่แน่นอนอย่างมากในการยืนหยัดต่อสู้กับความโลภขององค์กรเพื่อปกป้องเครือข่ายของเรา และในวันนี้ เรากลายเป็นผู้นำด้านจริยธรรมของซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส และสร้างเส้นทางสู่นวัตกรรมที่ไร้ขอบเขต ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อพื้นที่ Web3 ทั้งหมด”
