Forward คืออะไร
ที่มา : Twitter
Forward เป็น DeFi Platform ซึ่งมี Features หลักๆอยู่ 3 อย่างคือ Decentralized Derivative exchange(DDEX), Lending and Borrowing pool(LBP) และ NFT membership ซึ่งเป้าหมายของเค้าคือการสร้าง Ecosystem ที่ให้ผู้ใช้งานเข้าถึง Derivative และ Laverage trading ได้อย่างกว้างขวางและ ผู้ใช้งานที่เข้ามาจะไปสร้าง Real Demand ให้กับการกู้ยืมเงินบน Platform ผ่านระบบ Automated Position Hedger(APH) ทำให้เกิด Positive Feedback loop ไปเรื่อยๆและทำให้เกิดการเติบโตของทั้ง Ecosystem นอกจากนั้น Forward วางแผนจะนำ NFT เข้ามาใช้งานและนำเสนอ concept “Trading Gamefi” เข้ามาโดยจะเริ่มจาก NFT membership และ NFT for trading เป็นอย่างแรก
Founders and advisor
Forward ถูกก่อตั้งขึ้นปี 2021 โดยคุณชานน จรัสสุทธิกุลและ ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน Developer คนไทยที่มีประสบการณ์ในโลก Cryptocurrency ตั้งแต่ปี 2013 นอกจากนี้ยังมีทีม Advisor ชื่อดังในทั้งไทยและต่างประเทศเช่น คุณปรมินทร์ อินโสม Founder of Firo, คุณ Sebastian Bausch และ คุณ Ben Lakeoff เป็นต้น นอกจากนี้ Forward ตั้งเป้าหมายที่จะเป็น Decentralized Digital wealth platform ที่จะไปแข่งขันกับตลาด DeFi ในระดับโลก และพึ่งได้รับการระดมทุนจากสองธนาคารใหญ่และนักลงทุนอื่นๆ กว่า 160 ล้านบาทอีกด้วย
Forward Derivatives Decentralized Exchange
สำหรับ Feature หลักอันแรกของ Forward คือ Decentralized Derivative exchange(DDEX) นั้นคือการเปิดให้เทรดสัญญาการซื้อขายล่วงหน้า (Perpetual Future) โดยสามารถเปิดได้ทั้งฝั่ง Long และ Short และใช้ Leverage ได้ถึง 5 เท่า นอกจากนั้น Forward ยังเก็บค่าธรรมเนียมที่ 0.03% ซึ่งถือว่าถูกเมื่อเทียบกับที่อื่นเช่น CEX อย่าง Binance เก็บ Fee ที่ 0.1% หรือ DEX อื่นๆเช่น Perpetual protocol เก็บ Fee ที่ 0.1% หรือ DyDx เก็บ Fee ที่ 0.5% ทำให้การเปิด Position บน Forward มี Capital Efficiency ที่สูงกว่า
แต่ข้อที่ทำให้ Forward มีความแตกต่างและน่าสนใจคือการที่ Forward จะรับเป็น Counter Party ของทุก Position ที่เกิดขึ้น ซึ่งในการเทรดที่เราเห็นเป็นประจำอย่างบน Binance จะต้องมี Matching Order คือถ้ามีคน Long เท่าไหร่ก็จะต้องมีคน Short เท่าๆกันเพื่อให้มีทั้งคนได้และคนเสียเท่ากันแบบ Zero Sum game ทำให้ต้องใช้ทั้ง Volume และการควบคุมที่สูงมากจึงจะรองรับการเทรดได้ดี และบางทีอาจจะต้องใช้การปรับค่าธรรมเนียมขึ้น การเพิ่มหรือลด Funding rate จนถึงการระงับการเทรดเพื่อควบคุมให้การทำงานของระบบเป็นไปได้อย่างราบรื่น แต่การที่ Forward รับเป็น Counter party ให้กับทุกๆ position นั้นจะทำให้เทรดเดอร์สามารถเปิด Position ที่ตัวเองต้องการได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการ Matching จากฝั่งตรงข้าม อย่างไรก็ตามการทำแบบนี้ตัว Protocol จะกลายเป็นผู้รับความเสี่ยงของราคาเต็มๆ คือถ้าไม่มีการจัดการความเสี่ยงใดๆ ถ้าเทรดเดอร์ได้กำไรมากกว่าขาดทุน Forward ก็จะต้องเป็นคนจ่ายเงินตรงนี้ แพลตฟอร์มจึงมีการใช้ Automated Position Hedger(APH) เพื่อมาประกันความเสี่ยงของทั้งระบบ
ที่มา : Forward.market
Automated Position Hedger คืออะไร
Automated Position Hedger(APH) คือระบบที่ใช้ขจัดความเสี่ยงของ Forward ในการเป็น Counter Party ของทุกๆ Position ออกไป โดยหลักการของ APH คือการสร้าง position การเทรดที่เหมือนกันกับ trader โดยจะยืม Cryptocurrency จาก Lending and Borrowing pool ของ Forward เองมาใช้งาน
ยกตัวอย่างเช่นถ้าผมเปิด Long 1 BNB ที่ราคา $300 APH จะไปยืม 300 USDT ออกมาและนำไป swap เป็น 1 BNB ทันทีและนำไปเก็บไว้ใน APH Vault ต่อมา BNB ขึ้นไปที่ $400 ผมตัดสินใจปิดการเทรดนี้ APH จะนำ BNB ออกมาจาก Vault และไป swap กลับคืนมาเป็น 400 USDT เพื่อนำมาจ่ายกำไรให้ผม 100 USDT ที่ผมกำไรและนำ 300 USDT กลับไปคืน
อีกตัวอย่างนึงคือถ้าผม Short 1 BNB ที่ราคา $300 APH จะไปยืม 1 BNB มาและนำไป swap เป็น 300 USDT ทันทีและนำไปเก็บไป Vault เมื่อราคา BNB ลงไปเหลือ $200 ผมตัดสินปิดเพื่อทำกำไร APH ก็จะนำ 300 USDT ที่อยู่ใน Vault ออกมาและนำ 100 USDT มาจ่ายให้ผมส่วน 200 USDT ที่เหลือจะถูก swap ไปเป็น BNB เพื่อนำไปคืน
ที่มา : Docsend
จะเห็นว่าเมื่อทำแบบนี้ความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาจะหายไปทำให้ Forward ไม่มีความเสี่ยงตรงนี้ นอกจากนี้การที่ APH จะทำงานได้นั้นจะต้องมีการยืม Cryptocurrency ออกมาจาก LBP ทำให้ทุกๆครั้งที่มีการเทรดจะเกิดการกู้ยืมขึ้น และเกิดการใช้งานบน LBP จริงๆ ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาของ Lending Platform ในปัจจุบันเลยที่ส่วนมากจะนำ Cryptocurrency มาปล่อยกู้เพื่อรับดอกเบี้ยแต่มีเพียงส่วนน้อยที่จะมากู้ยืมออกไป ทำให้ Ecosystem ของ Forward มีการสนับสนุนกันและกัน
“ เมื่อมีการเทรดที่มากขึ้น → เกิดการกู้ยืมที่มากขึ้น → Lending APR สูงขึ้น → คนมาปล่อยกู้มากขึ้น → เกิดสภาพคล่องที่มากทำให้ Spread ต่ำลงและดอกเบี้ยการกู้ต่ำลงจาก Utilization ratio ที่น้อยลง → เกิดการเทรดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ”
และถ้าการเสริมกันนี้เติบโตจนกลายเป็น Positive Loop ที่สมบูรณ์ Forward จะกลายเป็น DeFi platform ที่มี Liquidity สูงอย่างยั่งยืน, มี Lending APR ที่สูง Borrowing interest ที่ต่ำ และเทรดเดอร์สามารถมาเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย Spread ที่ต่ำและค่า Funding Fee ที่ถูกอีกด้วย
นอกจากนั้นอีกหนึ่งฟังชั่นก์ที่ Forward ได้มีการเสนอเพื่อ Maximize ผลตอบแทนให้กับผู้ใช้งานคือ AI reinvestment โดยทีมได้เล็งเห็นว่าครั้งที่มีการใช้งาน APH จะต้องมี Cryptocurrency จำนวนหนึ่งถูกเก็บไว้ใน Vault เฉยๆโดยไม่ได้นำไปสร้างผลตอบแทน จึงมีการนำ AI มาใช้ในการออกแบบการนำเงินส่วนนี้ไปลงผลใน Platform ที่น่าเชื่อถือและความเสี่ยงต่ำที่สุด โดยในตอนแรกจะมีการนำ Markowitz porfolio management strategy มาประยุกต์ใช้งานและจะมีการพัฒนาเพิ่มเติมในอนาคต
Forward Lending and borrowing pool
Feature หลักอันที่สองคือการ Lending and Borrowing ซึ่งคือการกู้ยืมบนโลก DeFi ซึ่งหลักการการทำงานมีความคล้ายกับ DeFi lending ที่มีอยู่ในปัจจุบันเช่น AAVE หรือ Compound คือต้องมีการวาง Collateral เพื่อที่จะกู้เงินและมี Loan-to-Value (LVT) ที่ 70% และ Liquidation ที่ 80% LTV และ Lending and Borrowing APR จะเป็น Dynamic rate ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตามสัดส่วนการกู้ยืมของเงินใน Pool และนอกจาก Lender จะได้ APR จากการกู้ยืมแล้ว trading fee 0.03% จากการเทรดบน DDEX ก็จะมาสู่ Lender อีกด้วยทำให้ Lending APR สูงและมีความยั่งยืนขึ้นไปอีก
ที่มา : Forward.market
โดยประเด็นที่ทำให้ Forward โดดเด่นขึ้นมาคือความต้องการในการแก้ปัญหาของ Lending Platform ที่ส่วนมากมีแต่ผู้ปล่อยกู้แต่ไม่มีผู้กู้เงินออกมาใช้ จึงทำให้ Lending APR ลดลงเรื่อยๆ และส่งผลให้นักลงทุนจึงเริ่มถอนเงินออกจาก Platform ไป บางที่จึงมีการแจกเหรียญ Governance token ให้ผู้กู้เพื่อหวังว่าจะทำให้เกิดการใช้งานมากขึ้นแต่สุดท้ายในระยะยาวราคาของ Governance token ก็ร่วงลงทำให้ไม่ได้เกิด Demand ที่ยั่งยืนจริง แต่ด้วยระบบ APH ของ Forward ที่ทำให้เกิดการกู้เงินจาก LBP ขึ้นในทุกๆการเทรดนั้นทำให้ถ้ามีปริมาณการเทรดที่สูงพอ จะส่งผลให้เกิด Borrowing Demand ที่ยั่งยืนขึ้นมาได้จริงๆ
Forward NFT
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า Forward วางแผนที่จะนำ NFT เข้ามาใช้ใน platform ทั้งในแง่ Function, Utility และ User experience ซึ่ง Feature หลักอันสุดท้ายที่ Forward จะเปิดตัวใน Phase แรกคือ NFT membership card และ NFT for trading
สำหรับ NFT membership card คือการที่ Account ของผู้ใช้งานจะอยู่ในรูปแบบของ NFT ที่จะเก็บข้อมูลทุกอย่างทั้งเงินที่ฝากไว้ Position ทั้งหมดที่เปิดไว้เหมือนเป็นสมุดธนาคารส่วนตัว และผู้ใช้งานจะสามารถเปลี่ยน wallet หรือส่ง Position ทั้งหมดไปให้เพื่อนหรือ address อื่นได้ง่ายเพียงแค่ส่ง NFT card นี้ไป นอกจากนี้ membership card นี้จะใช้เพื่อรับสิทธิพิเศษจาก Forward ได้เช่นการเพิ่ม Lending APR, เพิ่ม LTV หรือการลดค่าธรรมเนียมเป็นต้น
ที่มา : YouTube Channel: Forward
อีกหนึ่งอย่างคือ NFT for trading คือ NFT ที่จะแจกหรือขายให้กับผู้ใช้งานในโอกาสสำคัญต่างๆหรือเมื่อทำ Achievement บางอย่างสำเร็จ เช่นในวันปีใหม่ วันคริสมาสต์ หรือเมื่อเทรดเดอร์ทำกำไรได้สูงสุดในเดือนนั้น เป็นต้นและ NFT เหล่านี้จะสามารถนำมาใช้ตกแต่ง User Interface ของตัวเองให้สวยงามมากขึ้นหรือ unlock feature อื่นๆได้จากทั้ง Forward และ Partners เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการนำหลักการ Gamification เข้ามาใช้กับ DeFi ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นและกลับมาใช้งานมากขึ้นในอนาคต
ที่มา : YouTube Channel: Forward
สรุป
โดยสรุป Forward เป็น Global DeFi platform ที่มีเป้าหมายจะเป็นผู้เล่นในตลาด Decentralized Derivatives Platform และแข่งขันในระดับโลก ซึ่งมี Features ที่สำคัญคือ DDEX และ Lending and Borrowing platform ที่ได้ถูกออกแบบให้มีการ Synergy และเอื้อต่อการเติบโตของกันและกัน นอกจากนี้ยังมีการนำ NFT มาใช้ใน Platform เพื่อให้มี functions ที่หลากหลายและ เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่ดีมากขึ้น
อย่างไรก็ตามการที่จะไปแข่งขันเพื่อแย่ง Market share ของตลาด DeFi ในระดับโลกนั้นที่ถึงแม้ว่าจะใหญ่แต่ก็เป็นเรื่องที่มีความท้าทาย และต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความเป็น Winner ในทุกๆด้านจึงจะสำเร็จได้ นอกจากนั้นปัจจัยการเติบโตหลักของ Forward คือการเพิ่มปริมาณการเทรดและ การใช้งานให้สูงจึงจะเกิด Positive Loop ที่จะทำให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ฉะนั้นผมจึงมองว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะจับตาดูการเติบโตของ Forward ว่าจะสามารถดึงผู้ใช้งานเข้ามาได้อย่างไรและจะแย่ง Market share ขนาดหลายร้อยล้านดอลล่าร์สหรัฐนี้มาได้มากแค่ไหนครับ
อ้างอิง