ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้แสดงความคิดเห็นในงานประชุมด้านเศรษฐกิจระดับโลก (World Economic Forum:WEF) ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่รวมตัวเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและภาคเอกชน มาหารือกันเพื่อกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ สังคมที่ส่งผลกระทบต่อประชาคมโลก
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ธปท.ได้ริเริ่มโครงการเพื่อพิสูจน์แนวคิดสกุลเงินดิจิทัลที่ออกใช้ระหว่างสถาบันการเงิน (Wholesale CBDC) มาตั้งแต่ปี 2561 โดยโครงการ mBridge เริ่มต้นจากการทดลองการชำระเงินระหว่างสถาบันการเงินข้ามพรมแดนกับธนาคารกลางฮ่องกง จากนั้นก็ขยายมาทดลองกับธนาคารแห่งประชาชนจีน ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS)ซึ่งการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน โดยใช้เทคโนโลยีการธนาคารแบบดั้งเดิมอาจใช้เวลาหลายวันกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ ในขณะที่ธุรกรรม CBDC นั้นเร็วกว่ามาก
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนอาจเกิดผลที่ไม่คาดคิดตามมา แม้เป็นเรื่องที่ดีเพราะมันมีความโปร่งใส แต่การไม่เปิดเผยตัวตนอาจกระทบความสามารถของระบบในการรองรับปริมาณธุรกรรม และนั่นเป็นความเสี่ยงในการออกแบบ CBDC เนื่องจากสัญญาอัจฉริยะ (smart contracts) จะกำหนดให้ระบุการจัดการทุกสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า พร้อมกับอ้างถึงการคว่ำบาตรรัสเซีย เป็นตัวอย่างของความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในการออกแบบ CBDC
นายเศรษฐพุฒิ ยังกล่าวด้วยว่า ธปท.เตรียมดำเนินโครงการนำร่อง สกุลเงินดิจิทัลสำหรับประชาชนที่ออกโดย ธปท. (Retail CBDC)ในวงจำกัด ภายในไตรมาส 4 ปีนี้
ดยในแง่ของธุรกรรมระหว่างประเทศระหว่างบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเงินจากแรงงานในต่างประเทศกลับบ้านเกิด ซึ่งมีมูลค่าตลาด 48,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี เป็นหนึ่งในกรณีการใช้งานที่น่าสนใจของ CBDC ผู้ว่า ธปท.ระบุว่า CBDC มีต้นทุนที่ถูกกว่า 50% และเร็วกว่าเทคโนโลยีการโอนเงินในปัจจุบันถึง 68% ซึ่งปัจจุบัน ค่าธรรมเนียมเฉลี่ยสำหรับการโอนประเภทนี้คือ 6.3% ของยอดรวมธุรกรรม
Axel Lehmann ประธานของ Credit Suisse ธนาคารเพื่อการลงทุนและบริการทางการเงินระดับโลก ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับ retail CBDC ในเรื่องการจ่ายดอกเบี้ย ความเป็นส่วนตัว ฯลฯ พร้อมกับชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีการชำระเงินที่รวดเร็วแบบที่ไม่ต้องใช้บล็อกเชน
อ้างอิง : LINK
