หลายท่านคงเคยได้ยินปรากฏการณ์ “ความคลุ้มคลั่งในดอกทิวลิป” (Tulip mania) ที่ถูกจารึกไว้ว่า เป็นการเกิดภาวะ “ฟองสบู่” ครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก (แม้นักวิชาการบางท่านจะมีความเห็นว่ามีการใส่สีตีไข่ให้เป็นเรื่องเกินจริงก็ตาม) กล่าวคือ ในเนเธอร์แลนด์ราวปี ค.ศ.1637 หรือ 387 ปีก่อน ดอกทิวลิปซึ่งกลายเป็นเครื่องแสดงฐานะทางสังคมของความเป็นผู้มีอันจะกิน ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในหมู่ชนชั้นสูงและกระจายไปสู่ชนชั้นกลาง ถึงขั้นมีการซื้อขายดอกทิวลิปล่วงหน้า (คล้ายกับการซื้อขายล่วงหน้าหรือ futures contract ในตลาดอนุพันธ์ปัจจุบันนี้) ทำให้ราคาสูงถึงขนาดที่มีบันทึกไว้ว่า มีผู้นำที่ดิน 49,000 ตร.ม. หรือ 30 กว่าไร่ มาแลกกับดอกทิวลิปเพียงดอกเดียว!
ทั้งนี้ มีนักเศรษฐศาสตร์นิยามปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นทฤษฎีไว้ในชื่อ “The Greater Fool Theory” หรือ “ทฤษฎี คนโง่กว่า” ซึ่งอธิบายไว้ว่า ในภาวะฟองสบู่ จะมีคนที่ยอมซื้อสินทรัพย์หนึ่งๆ ไม่ว่าจะมีราคาแพงกว่ามูลค่าพื้นฐานหรือไม่ก็ตาม โดยเชื่อว่าราคาจะแพงขึ้นอีก และทำกำไรด้วยความหวังว่าจะสามารถขายสินทรัพย์ในราคาที่แพงกว่านั้นให้กับอีกคนที่มีความเชื่อเหมือนกับเราได้ (หรืออีกนัยหนึ่ง คนที่ยอมซื้อต่ออีกทอดหนึ่งคือ the greater fool หรือคน ที่โง่กว่านั่นเอง)
แต่แล้ว…เมื่อราคาดอกทิวลิปเพิ่มสูงขึ้นไปถึงจุดหนึ่งก็เริ่มไม่มีใครยอมซื้ออีกต่อไป ผู้คนเริ่มวิตกกังวลว่านี่คือราคาสูงสุดที่ยอมรับกันได้แล้วและต่างเทขายยกใหญ่ ทำให้ราคาดอกทิวลิปตกลงอย่างฮวบฮาบแทบไม่เหลือค่าภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน (ราคาเหลือเพียง 1 ใน 100 ของราคาที่เคยขึ้นสูงสุด) แม้มีบทเรียนในครั้งนั้น แต่ภาวะฟองสบู่ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ตัวอย่างไล่มาตั้งแต่ South Sea bubble ในอังกฤษเมื่อประมาณปี 1720 ฟองสบู่ดอทคอมในปลายทศวรรษ 1990 จนกระทั่งฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเหตุหายนะที่ทำให้เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ในที่สุด
มาจนถึงปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในปรากฏการณ์ที่ทุกคนให้ความสนใจอยู่ทุกวันนี้คือ “บิทคอยน์” หรือคริปโตเคอร์เรนซีตัวแรกของโลกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีอันทรงคุณูปการอย่างบล็อกเชน โดยในช่วงที่ผ่านมามีราคาพุ่งทะยานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 41,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณกว่า 1,200,000 บาทไปแล้วเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา จนหลายคนตั้งคำถามว่า นี่คือภาวะฟองสบู่อีกแล้วหรือไม่?
มีนักการเงินและผู้เชี่ยวชาญหลายท่านอธิบายว่า การทะยานขึ้นของราคาบิทคอยน์ในครั้งนี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ ส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานคือ ปรากฏการณ์ “บิทคอยน์ฮาฟวิ่ง (Bitcoin Halving)” ซึ่งเป็นกลไกของระบบบิทคอยน์เองที่เกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี เป็นลักษณะของการจำกัดอุปทานของบิทคอยน์ที่ผลิตเข้ามาใหม่ให้ลดลงครึ่งหนึ่ง ผนวกกับความนิยมที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งานของบริษัทระดับโลกต่างๆ เช่น Visa ที่วางแผนจะออกบัตรเครดิตที่อิงกับบิทคอยน์โดยตรง
อย่างไรก็ตาม ราคาบิทคอยน์ที่เพิ่มขึ้นมาจากอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ การเข้ามาลงทุนในเชิงเทคนิคของนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยทั่วโลกที่โหมกระหน่ำไล่ราคาขึ้นไปสูงมาก จนมีนักวิชาการและนักการเงินหลายท่านออกโรงเตือนภัยความเสี่ยงสำหรับการเข้าลงทุน รวมทั้งให้คำนิยามบิทคอยน์ว่าเป็น “ฟองสบู่ตัวแม่ (The Mother of All Bubbles)” เลยทีเดียว
เอาเป็นว่า ไม่ว่าราคาบิทคอยน์จะเพิ่มขึ้นจากปัจจัยใด คงต้องทิ้งท้ายฝากไว้ให้ท่านผู้อ่านเหมือนสปอตโฆษณาคุ้นหูที่เกี่ยวกับการลงทุนว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” ครับ!
สุพริศร์ สุวรรณิก สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด **
อ้างอิง : LINK