นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า กรมฯเตรียมนำเทคโนโลยี blockchain มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี โดยจะเริ่มจากสินค้านำเข้าจากต่างแดน และ สินค้าน้ำมันที่ผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งสินค้านำเข้าจากต่างแดนนั้น คาดว่า จะเริ่มได้ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป ส่วนสินค้าน้ำมันที่ผลิตเพื่อการส่งออกจะเริ่มได้ราวไตรมาสแรกของปีหน้า
“การดำเนินนโบบายต่างๆ ภาพใหญ่จะต้องไม่ให้กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพราะเราเริ่มตั้งตัวได้ เริ่มจะมีโมเมนตั้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงอยากให้โตได้ต่อเนื่อง ซึ่งการขึ้นภาษี จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจชะงัก ดังนั้นจึงให้นโยบายว่า การเก็บภาษีสินค้าใหม่นั้น สามารถศึกษาได้ แต่ระยะเวลาที่จะเอามาใช้นั้น ไม่ใช่ช่วงนี้”
ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี โดยให้ไปดูว่า สินค้าหลักๆ 5-6 ตัว มีช่องว่างตรงไหนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพได้ โดยนำเทคโนโลยีมาช่วย สิ่งแรกที่จะทำ คือ ความร่วมมือระหว่าง 3 กรมภาษี โดยการนำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้กับสินค้าที่นำเข้าทั้งหมด
ทั้งนี้เทคโนโลยีบล็อกเชนจะทำให้ทั้ง 3 กรมจัดเก็บทราบว่า สินค้าที่นำเข้าชิ้นหนึ่งนั้น มีการสำแดงราคาที่เท่าไหร่ จัดเก็บที่ราคาเท่าไหร่ จะต้องเสียภาษีอะไรบ้าง ตั้งแต่ต้นทางที่กรมศุลกากร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งอย่างเรียลไทม์มายังสรรพสามิตและสรรพากรด้วย
ต่อไป การหลบเลี่ยงภาษี จะทำได้ยาก จะมีการตรวจสอบภาษีระหว่างกัน ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแน่นอน แต่เม็ดเงินภาษี ยังไม่รู้ เพราะไม่รู้ว่า ของเดิมหลบอยู่เท่าไหร่ แต่รู้ว่า จากนี้ไปประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีจะแม่นยำ”
สำหรับบล็อกเชนที่จะเข้ามาดูเรื่องการคืนภาษีน้ำมันส่งออกนั้น ขณะนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดจะแล้วเสร็จและนำมาใช้ได้ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า ทั้งนี้ เหตุที่นำบล็อกเชนมาใช้กับสินค้าน้ำมันส่งออก เพราะว่า เป็นสินค้าที่ทำรายได้สูงกว่า 200, 000 ล้านบาทต่อปี หรือ 2 ใน 3 ของการจัดเก็บรายได้ทั้งหมดของกรมฯ และเป็นสินค้าที่อาจจะมีการรั่วไหลได้ง่าย
“ภาษีน้ำมันเป็นภาษีหลักของภาษีสรรพสามิต โดยจัดเก็บได้กว่า 200,000 ล้านบาท ในยอดจัดเก็บ 500, 000-600, 000 ล้านบาทแต่ละปี ก็มาดูว่า ในน้ำมันมีประสิทธิภาพในการควบคุมกำกับดูแลดีหรือยัง เราสามารถเพิ่มได้ โดยวันนี้ น้ำมันส่งออก ที่ออกจากโรงกลั่น และส่งออกไปประเทศต่างๆได้รับยกเว้นภาษี ดังนั้นเราต้องการจะรู้ว่า น้ำมันนี้ออกไปจริงหรือไม่ จะมีการใช้เทคโนโยลีมาดูเรื่องของเอกสารตั้งแต่ต้นทางและปลายทาง”
ทั้งนี้ แนวปฏิบัติ คือ บล็อกเชนจะเข้ามาช่วยจัดเก็บเอกสารจากต้นทางถึงปลายทาง ขณะเดียวกัน สำหรับตัวสินค้า คือ น้ำมันนั้น เราจะใช้ระบบE-Lock เข้ามาติดตั้งที่วาวล์รถขนส่งน้ำมันทุกคัน เพื่อตรวจสอบได้ว่า รถขนน้ำมันดังกล่าวนั้น ได้ส่งออกสินค้าน้ำมันไปยังประเทศปลายทางได้จริง
“ตัวน้ำมันที่ออกจากโรงกลั่น จะมีการใช้เทคโนโลยีเข้าไปกำกับว่า ระหว่างทางจะรั่วไหลไม่ได้ ต้องไปถึงปลายทางจริง และตรวจสอบได้ เพราะที่ผ่านมามีปัญหาน้ำมันที่ควรจะส่งออกแต่ไม่ได้ส่งออกจริง และกลับมาขาย ทั้งนี้ ภาษีน้ำมันที่เราจัดเก็บภาษีจะอยู่ที่ประมาณ 5 บาทต่อลิตร”
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ กรมฯมีแนวคิดที่จะให้ผู้ส่งออกน้ำมันชำระภาษีน้ำมันก่อนส่งออก เพื่อเป็นเงินประกัน เมื่อส่งออกเรียบร้อยแล้ว ให้ขอยื่นคืนภาษีส่งออกดังกล่าว โดยใช้บล็อกเชนเข้ามาช่วยคืนภาษีให้เร็วขึ้น ซึ่งทางผู้ประกอบการไม่เห็นด้วย เพราะถือว่า เป็นภาระต้นทุนจำนวนมาก ดังนั้นจึงปรับแนวคิดใหม่ โดยผู้ประกอบการไม่ต้องวางเงินประกัน แต่จะใช้เทคโนโลยีเข้ามากำกับการขนส่งสินค้า เพื่อเป็นลดภาระต้นทุนการวางเงินประกันของผู้ประกอบการ
“แค่มีการตรวจสอบที่ดี แม่นยำ คนก็กลัวแล้ว บวกกับ เราจะทำอีล็อก เพื่อล็อกวาวล์ในรถทุกคันตั้งแต่ต้นทาง และไม่มีใครทำลายได้ ถ้าทำลาย จะมีสัญญาณเตือน มีจีพีเอส น้ำมันวิ่งไปไหน จะเห็นหมด ปลายทางถึงจะปลดล็อกให้ได้”
ส่วนสินค้าตัวอื่นนั้น เช่น เครื่องดื่มต่างๆนั้น มีระบบการจัดเก็บภาษีที่ดีอยู่แล้ว
ขณะที่ภาพรวมการจัดเก็บภาษีระยะ 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 ยังเกินเป้าหมายอยู่เล็กน้อย คาดว่า ทั้งปีจะพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมายที่กว่า 600, 000 ล้านบาท โดยขณะนี้ ภาษีน้ำมัน สามารถจัดเก็บได้ดีใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และ การบริโภคสินค้าตัวอื่น เช่น เครื่องดื่ม แอลกอฮอร์ บุหรี่ อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ซึ่งสะท้อนว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้น ส่วนรถยนต์นั้น ในช่วงปลายปี จะมียอดซื้อที่มากขึ้นจากการจัดงานมอเตอร์โชว์ช่วงปลายปี ซึ่งก็จะทำให้ภาษีรถยนต์ดีขึ้น แม้จะมีการชะลอตัวของยอดขายในช่วงที่มีข่าวรถเก่าแลกรถใหม่
อ้างอิง : LINK
