ความยากในการขุดหรือ ค่า Difficulty ของ Bitcoin อาจถูกปรับเพิ่ม 10% ภายใน 3 วัน หมายความว่าต้นทุนการขุดสำหรับนักขุดอาจเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาสั้น ๆ
สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากต้นทุนการขุดที่เพิ่มขึ้น สามารถกดดันให้พวกเขาขาย BTC มากขึ้นเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
รวมถึงหลังจาก halving ผ่านไปแล้ว รายได้ของนักขุดโดยรวมที่เคยทำได้ 1800 BTC ต่อวัน ก็ลดลงเหลือ 900 BTC ต่อวัน ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายของนักขุดจะเพิ่มขึ้นสองเท่า
Hash rate อาจร่วงตามมา
เนื่องจากมีนักขุดน้อยลง ค่า Difficulty ในการขุด Bitcoin จึงปรับลดลงเองโดยอัตโนมัติ นับตั้งแต่ halving ผ่านไป แต่ในอีก 3 วันมันอาจปรับเพิ่มขึ้น
![ความยากในการขุด Bitcoin จะเพิ่มขึ้น 10.19% ใน 3 วัน ความยากในการขุด Bitcoin จะเพิ่มขึ้น 10.19% ใน 3 วัน](https://s3.cointelegraph.com/storage/uploads/view/097fbdb7026b97e15c9e6ef5a468ce0d.png)
ค่า Difficulty ที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้ Hash rate ของเครือข่ายลดลง เนื่องจากการหายไปของนักขุดรายย่อย ที่ต้องดิ้นรนเพื่อปรับตัวให้เข้ากับต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อค่า Difficulty ในการขุดเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% สิ่งที่ตามมาคือความเสี่ยงของนักขุดที่จะต้องเทขาย BTC มากขึ้นเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขาสามารถขุดได้ หากสิ่งนี้เกิดขึ้น แรงขายจะมากขึ้นและจะส่งผลต่อราคา Bitcoin ในระยะสั้น
ข้อมูลจาก ByteTree แสดงให้เห็นว่านักขุดทำรายได้รวมไปประมาณ 7,356 BTC ในสัปดาห์ที่ผ่านมาและใช้จ่ายไปทั้งสิ้น 5,984 BTC เท่ากับมีกำไร 1,372 BTC จากสิ่งที่พวกเขาขุดได้
![คนงานเหมืองช่วย BTC มากขึ้นในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมาเนื่องจากความยากในการขุดต่ำ คนงานเหมืองช่วย BTC มากขึ้นในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมาเนื่องจากความยากในการขุดต่ำ](https://s3.cointelegraph.com/storage/uploads/view/8c3478daf653dc8743800d720c156967.png)
แต่เมื่อ Difficulty เพิ่ม นักขุดจะสร้าง Bitcoin ได้น้อยลง ซึ่งหมายความว่าจำนวนสุทธิของ BTC อาจกลับมาติดลบอีกครั้งเช่นเดียวกับในเดือนพฤษภาคม
หาก Difficulty เพิ่มขึ้นจริง รวมถึงราคาของ Bitcoin ลดลง จะกลายเป็นการกดดันให้นักขุดเทขาย BTC มากขึ้นไปอีก เพื่อให้มีเงินครอบคลุมต้นทุนการดำเนินงาน จนกว่าจะมีการปรับ Difficulty ครั้งต่อไป
อ้างอิง : LINK