ความยากในการขุดหรือ ค่า Difficulty ของ Bitcoin อาจถูกปรับเพิ่ม 10% ภายใน 3 วัน หมายความว่าต้นทุนการขุดสำหรับนักขุดอาจเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาสั้น ๆ
สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากต้นทุนการขุดที่เพิ่มขึ้น สามารถกดดันให้พวกเขาขาย BTC มากขึ้นเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
รวมถึงหลังจาก halving ผ่านไปแล้ว รายได้ของนักขุดโดยรวมที่เคยทำได้ 1800 BTC ต่อวัน ก็ลดลงเหลือ 900 BTC ต่อวัน ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายของนักขุดจะเพิ่มขึ้นสองเท่า
Hash rate อาจร่วงตามมา
เนื่องจากมีนักขุดน้อยลง ค่า Difficulty ในการขุด Bitcoin จึงปรับลดลงเองโดยอัตโนมัติ นับตั้งแต่ halving ผ่านไป แต่ในอีก 3 วันมันอาจปรับเพิ่มขึ้น
ค่า Difficulty ที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้ Hash rate ของเครือข่ายลดลง เนื่องจากการหายไปของนักขุดรายย่อย ที่ต้องดิ้นรนเพื่อปรับตัวให้เข้ากับต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อค่า Difficulty ในการขุดเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% สิ่งที่ตามมาคือความเสี่ยงของนักขุดที่จะต้องเทขาย BTC มากขึ้นเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขาสามารถขุดได้ หากสิ่งนี้เกิดขึ้น แรงขายจะมากขึ้นและจะส่งผลต่อราคา Bitcoin ในระยะสั้น
ข้อมูลจาก ByteTree แสดงให้เห็นว่านักขุดทำรายได้รวมไปประมาณ 7,356 BTC ในสัปดาห์ที่ผ่านมาและใช้จ่ายไปทั้งสิ้น 5,984 BTC เท่ากับมีกำไร 1,372 BTC จากสิ่งที่พวกเขาขุดได้
แต่เมื่อ Difficulty เพิ่ม นักขุดจะสร้าง Bitcoin ได้น้อยลง ซึ่งหมายความว่าจำนวนสุทธิของ BTC อาจกลับมาติดลบอีกครั้งเช่นเดียวกับในเดือนพฤษภาคม
หาก Difficulty เพิ่มขึ้นจริง รวมถึงราคาของ Bitcoin ลดลง จะกลายเป็นการกดดันให้นักขุดเทขาย BTC มากขึ้นไปอีก เพื่อให้มีเงินครอบคลุมต้นทุนการดำเนินงาน จนกว่าจะมีการปรับ Difficulty ครั้งต่อไป
อ้างอิง : LINK