สาวก Bitcoin หลายคนเชื่อว่า ‘การพิมพ์เงินไม่จำกัด ‘ จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง และทำให้ราคาของ BTC สูงขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียก็ออกมากล่าวว่าอาจทำให้เกิดภาวะเงินฝืดแทน
ธนาคารกลางออสเตรเลีย, ING Bank, นิวยอร์กไทม์สและยูบีเอส เป็นเพียงไม่กี่องค์กรที่คิดว่าภาวะเงินฝืดอาจตามมาจากการลดลงของราคาน้ำมันเนื่องจากความต้องการลดลงจากการปิดเมือง
ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่ว่า “มาตรการ quantitative easing” ในปีนี้ จะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้ออย่างรวดเร็ว และทำให้ความต้องการ Bitcoin ที่มีเพียง 21 ล้านเหรียญเพิ่มขึ้น
นักวิเคราะห์ Crypto Plan B โต้แย้งว่า การพิมพ์เงินนั้นเป็นประโยชน์ต่อ Bitcoin และรูปแบบ stock-to-flow price model ของเขานั้นทำให้เชื่อว่า เมื่อถึง Halving เดือนพฤษภาคม ที่จะลด supply ของ Bitcoin จะช่วยผลักดันให้ราคาสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อประจำปีของ Bitcoin หลังจาก Halving จะอยู่ที่ 1.8% ในขณะที่ทองคำอยู่ที่ 2.5%
“ช่วงเวลาของภาวะเงินฝืด”
เป็นที่น่าสนใจว่า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาลดลง 0.4% ในเดือนมีนาคมเหลือ 1.5% และหลายคนเชื่อว่าเงินเฟ้อจะยังลดลงต่อเนื่อง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของนิวยอร์กไทม์ส Neil Irwin เขียนไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ราคาน้ำมันติดลบเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าโลกกำลังอยู่ในช่วง “ภาวะเงินฝืด”
“วิกฤตโควิด -19 เป็นเหตุให้เกิดความไม่ปกติในเศรษฐกิจ และส่งผลต่อการใช้ทรัพยากรของโลก” เขาเขียน
ในกรณีของน้ำมัน มันเป็นเพราะความต้องการใช้งานได้ลดลง จนนำไปสู่ supply ที่มากเกินไปของผลิตภัณฑ์และผลักดันให้ราคาติดลบ เขาระบุว่าผลกระทบ supply และ demand ที่คล้ายคลึงกันจะเห็นได้ทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากความต้องการลดลงทุกที่ ตั้งแต่ร้านอาหารไปจนถึงสายการบิน สนามกีฬาที่ว่างเปล่าและมีคนงาน 22 ล้านคนแล้วที่ยื่นเรื่องว่างงาน
สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการล่มสลายของภาวะเงินฝืด ซึ่งเป็นเพราะการมีจำนวนที่มากเกินไปของ supply ของสินค้าและบริการ และจากนั้นราคาก็จะลดลง
ING ก็คิดเช่นนั้น
James Knightley หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศของ ING Bank ได้ชี้ถึงประเด็นที่คล้ายกัน และระบุว่าการล่มสลายของราคาพลังงานและการว่างงานที่เพิ่มขึ้น ในไม่ช้าจะทำให้ “ดัชนีราคาผู้บริโภคเกิดการติดลบ” (consumer Price Index)
ในบทความ ” US: Deflation กำลังจะมาถึง” เขาได้ชี้ให้เห็นว่า ความคาดหวังว่า QE จะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อนั้นอาจไม่ได้เกิดขึ้น เนื่องจากเงินดอลลาร์ที่พิมพ์ใหม่ ๆ จากเครื่องพิมพ์เงิน อาจไหลไปสู่สินทรัพย์ทางการเงิน แทนที่จะเข้าไปในกระเป๋าของผู้บริโภค
James Knightley ยังอ้างถึงรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในเดือนมีนาคม ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อว่าแม้จะมีการพิมพ์เงินใหม่แต่ “อัตราเงินเฟ้อนั้นคาดว่าจะอ่อนตัวลง”
Bitcoin ยังคงป้องกันความเสี่ยงได้ดีต่ออัตราเงินเฟ้อ
ท้ายที่สุดแล้ว Bitcoin ก็ยังเป็นสิ่งที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงได้ดี ในประเทศเช่น เวเนซุเอลา และซิมบับเว ที่กำลังประสบภาวะเงินเฟ้อรุนแรง
ยกตัวอย่างเช่นเว็บเทรด LocalBitcoins ในอาร์เจนตินา ที่เพิ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
ที่มา : LINK